ว่าถึงเรื่อง "กระสือ"

Last updated: 10 พ.ย. 2566  |  165 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ว่าถึงเรื่อง "กระสือ"

ว่าเรื่องกระสือ 
 
  เมื่อหลายวันก่อน มีข่าวใหญ่ทอล์คออฟเดอะทาวน์

จนถึงขนาดไปออกรายการโหนกระแสอยู่เรื่องนึง

นั่นคือเรื่องที่มีคนกล่าวอ้างว่า เห็นผีกระสือ ส่วนเนื้อข่าว รายละเอียด

เรื่องราวจะเป็นยังไง หลายๆคนก็คงจะทราบกันดีอยู่แล้ว

ผมคงไม่นำมาเอ่ยเพิ่มเติมอีก แต่ทันทีที่อ่านรายละเอียดคร่าวๆ

ผมก็ฟันธงเจาะจงได้เลยว่า เป็นเรื่องโกหก แหกตาอีกตามเคย  



 
นั่นก็เพราะสิ่งที่ผู้ที่อ้างว่าเห็นกระสือตัวเป็นๆ บรรยายให้ฟังนั้น

มันไม่ใช่สิ่งที่เป็นกระสือแม้แต่น้อย


ถามว่าทำไมผมถึงกล้าฟันธงว่ามันคือเรื่องแหกตา

นั่นก็เพราะว่าผมผ่านการเห็นกระสือ ของจริงแท้ๆมาแล้ว

ซึ่งสำหรับคนเรียนไสยเวทย์อาคม เรียนวิชาทางหมอธรรม

วิชาเวทย์มนต์ทางอีสาน การจะเห็นหรือสัมผัสกับกระสือนั้น

ไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลย เพราะเป็นหนึ่งในผีที่พบเจอกันได้มาก

ไม่ต่างจาก”ปอบ” ที่คนเรียนมนต์ทางอีสานหลายๆคนกลัวกัน

คนจะเรียนเป็นหมอธรรม หมออาคมอีสานแล้ว วิชาการข่มผี

ปราบปอบ ปราบกระสือ เป็นวิชาที่หลีกเลี่ยงมิได้

เพราะถ้าเรียนวิชาเหล่านี้ พิสูจน์จิตใจไม่ผ่าน จะไม่มีทางจะเรียนวิชาแขนงนี้ต่อได้  
 
ก่อนจะไปว่าถึงเรื่องราวของกระสือ จากประสบการณ์ส่วนตัว 

ไปว่ากันถึงรายละเอียดตำนานที่มาของกระสือกันก่อน  

กระสือนั้นอยู่ในบันทึกของกฎหมายตราสามดวง

ที่เป็นกฎหมายมาแต่ครั้งปลายอยุทธยา ต่อมาจนถึงต้นรัตนโกสินทร์

บันทึกทำนองว่า ไม่รับร้องทุกข์พิจารณาคดี จากผู้ร้องทุกข์

ที่ต้องสงสัยว่าเป็นกระสือ 

แต่ไม่ได้มีบันทึกไว้อย่างละเอียดว่าผู้ที่เป็นกระสือนั้น มีลักษณะเช่นไร  
 
แต่รูปลักษณ์ที่ผู้คนเชื่อกันนั้น มาจากตามคำบรรยายของท่านเสฐียรโกเศศ

ที่ท่านบรรยายไว้ในหนังสือของท่านว่า เป็นหญิงแก่มีเพียงหัวกับไส้ส่องแสงเรืองๆ 

จนมาเป็นรูปลักษณ์ครั้งแรก

ก็มาจากภาพวาดของ ทวี วิษณุกร

ที่แต่งเติมเอาจากจินตนาการในใบปิดภาพยนตร์เรื่อง  "กระสือสาว" 

ที่ฉายเมื่อปี พ.ศ. 2516 ไม่กี่สิบปีมานี้


ซึงหนังเรื่องนั้นโด่งดังมากจนกระสือกลายเป็นภาพจำ

สมัยผมเด็กๆช่วงปี  2530 จำได้ว่ามีข่าวใหญ่โต

ลงหนังสือพิมพ์ว่ามีคนเห็นกระสืออยู่แถวบางกะปิ

จนถึงกับมีคนให้รางวัลค่าหัวที่สูงพอสมควร

สำหรับคนที่จับกระสือตัวเป็นๆได้ ้

ถึงขนาดว่ามีหลายคนยอมเดินทางจากต่างจังหวัดเข้ามา

เพื่อตามล่าหากระสือ เพื่อหวังเงินรางวัลกัน 
 
ย้อนกลับไปซักเล็กน้อย ถึงตอนที่ผมได้อ่านข่าว ฟังเรื่องราวของกระสือ

จากผู้ที่อ้างว่าพบเจอล่าสุด ที่เขาพูดบรรยายถึงลักษณะของกระสือ

ที่เขาอ้างว่าพบเจอ พอพูดเขาพูดว่า มีแสงสีแดง

ทันทีทันใดผมก็รู้ทันทีว่าเป็นเรื่องโกหกอีกตามเคย 
 
นั่นเพราะกระสือของจริงแท้ๆนั้น ไม่ได้มีไฟแสงสีแดง

หรือว่าสีอื่นใด กระสือของแท้นั้นจะต้องแสงสีเขียวเท่านั้น

และประการสำคัญนอกจากหัวแล้วจะไม่มีอวัยวะเครื่องในตับไต

ไส้น้อยใหญ่อันใดทั้งสิ้น  

ย้อนไปเมื่อครั้งสมัยผมไปตระเวณร่ำเรียนวิชา

ช่วงนึงตอนอยู่กับท่านที่วัด มองๆไป เห็นดวงไฟสีเขียวลอยไปลอยมา

ทีแรกนึกว่าชาวบ้านออกหากบหาเขียด หาปลา ตามวิถีชีวิตคนต่างจังหวัด

ก็ไม่ได้คิดอะไร มองดูไปตามประสา จนพระอาจารย์ท่านต้องเรียกให้เข้านอน

จนเช้าวันต่อมาท่านถึงได้บอกว่า เมื่อคืนนี้รู้รึเปล่าว่ามองดูอะไรอยู่

ผมก็ตอบซื่อๆไปตามคนไม่รู้ประสาว่า

ชาวบ้านคงออกมาหากบ เขียดไปทำกินกัน

ท่านก็หัวเราะแล้วบอกว่า

“ออกหากบเขียดกินน่ะใช่ แต่ไม่ใช่ชาวบ้านหรอกนะที่หาน่ะ แต่มันคือกระสือ”


ได้ยินเช่นนั้นผมก็ตกใจและสอบถามรายละเอียดและเรื่องราวของกระสือ

จากท่านทันที  (ขยายความตรงนี้ ครูบาอาจารย์ผมท่านได้่ชื่อว่า เป็นสายวิชาทางอีสานที่ขึ้นชื่อเรื่องการกำกับและการใช้ว่านโพง สีผึ้ง่านโพงที่ท่านทำไว้ ล้วนแต่สร้างประสบการณ์และเป็นที่หวงแหนของบรรดาศิษย์ท่าน ปัจจุบันท่านเสียชีวิตไปนานแล้ว )  
 
ซึ่งท่านก็ได้ให้ผมดูว่านกระสือของจริง ของแท้

รวมถึงบริเวณที่ท่านเลี้ยงไว้ แต่สมัยนั้นเทคโนโลยีโทรศัพท์ถ่ายรูปได้ยังไม่มี 
แถมผมก็พวกทุนทรัพย์น้อย ไม่ได้มีกล้องถ่ายรูปอะไรเหมือนกับเขา

จึงไม่ได้มีภาพถ่ายเก็บไว้  
 
อธิบายให้เข้าใจกันตรงนี้ จะรู้จักกันว่า กระสือ ของจริงของแท้

จะไม่ใช่วิญญาณของคนแต่จะเป็นวิญญาณจากพืชว่านชนิดนึงที่เรียกกันว่า

“ว่านโพง” หรือที่คนเรียนอาคมอีสานเรียกกันชื่อเฉพาะไปว่า “ว่านกระสือ”

ซึ่งเป็นว่านที่คนเรียนอาคมมักจะปลูกกันเอาไว้ เพื่อใช้ประโยชน์ในหลายทาง

ทั้งทำน้ำมัน สีผึ้ง ไปจนถึงนำมาผสมเป็นมวลสารทำเครื่องรางของขลัง ฯลฯ

นำมาใช้ได้สารพัด ว่านโพงจะคล้ายกับว่านหนุมานนั่งแท่น

ที่เอามาขายกันทั่วไปในทุกวันนี้

แต่ว่านโพงจะมีลักษณะเฉพาะออกไป และก็ไม่ใช่ว่าว่านโพงทุกชนิด

จะเป็นว่านกระสือ เพราะว่านโพงก็มีแตกต่างกันออกไปอีก

เช่นโพงเหล็ก โพงเลือด ฯลฯ เอาเป็นว่าการจะได้หัวว่านโพงมาปลูก

และใช้ประโยชน์เช่นที่ว่ามาได้ นั้นยากลำบากพอสมควร 



 
นอกจากนั้นการจะเลี้ยงให้มีฤทธิ์ ยังต้องใช้อาคมรดน้ำเสก

ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ต่างจากว่านอื่นๆ (ไม่รู้ทุกวันนี้ยังมีคนทำอยู่หรือไม่)

ขั้นตอนสำคัญของการเลี้ยงให้มีฤทธิ์นั้นคือการเลี้ยงด้วยเลือด

ทั้งของตัวผู้เลี้ยงเองและสิ่งมีชีวิต บางคนก็ใช้การปาดคอเขียด กบ กิ้งก่า

สัตว์เล็กต่างๆ บางคนก็หนักจนถึงขนาดใช้ไก่ก็มี  

เมื่อวานโพงเติบโตได้ที่ จนออกดอกขึ้นมาบริเวณรากหรือหัว

ดอกที่ออกมา ในบางคืนก็จะเกิดการเรืองแสงขึ้นมา

ซึ่งไม่ได้เป็นทุกต้น ในสิบต้นจะมีซัก 2-3 ต้น ที่มีลักษณะแบบนี้  
 
สำหรับคนที่เลี้ยงและเล่นว่านโพง เมื่อถึงขั้นนี้ก็จะทำการลองว่าน

ด้วยการใช้ปืน หรือกระสุนยิง ถ้าว่านโพงนั้นใช้ได้ปืนจะยิงไม่ออก

หรือไม่ก็จะเป็นเรื่องร้องโหยหวยขอความเมตตาว่าอย่ายิง

นั่นถือว่าว่านโพงที่เลี้ยงไว้ใช้ได้แล้ว เพราะมีจิต วิญญาณเป็นตัวตนขึ้นมา

สามารถนำไปใช้งานได้ไม่ต่างจากโหงพราย แถมยังมีฤทธิ์มากมายยิ่งกว่าเสียอีก  
 
อ่านมาตรงนี้หลายๆคนคงหูผึ่ง คิดจะเสาะหาเอาว่านโพงมาเลี้ยงอเพื่อให้ใช้งานได้อย่างที่ผมเล่าให้ฟังมา ขอบอกว่าอย่าได้คิดริลองเป็นอันขาว เพราะความน่ากล้วของว่านโพงนั้นคือมันเลี้ยงไม่เชื่อง ปัญหามันคือหลังจากนี้........... 
 
เมื่อว่านโพงที่เลี้ยงไว้ มีจิตมีวิญญาณดังเช่นที่กล่าวไปแล้ว เจ้าของผู้เลี้ยงจะต้องเลี้ยงมันให้อิ่มอย่างสม่ำเสมอ เพราะหากเลี้ยงมันไม่อิ่น หรือละเลยมันไป มันจะออกไปหากินเอง ซึ่งบางครั้งหากคนเลี้ยง วิชาอาคมไม่แก่กล้าพอ มันก็จะกินผู้เลี้ยง เข้าสิงสู่ในร่างกาย ยึดเอาร่างกายของผู้เลี้ยงไป ที่กลายเป๋นผีโพง ผีเป้า ก็ล้วนแต่มาจากการโดนวิญญาณในว่านโพงเข้าสิงสู่ ออกไปหากินกบเขียด ปลา สิ่งมีชีวิตในยามดึก ซึ่งก็เป็นปอบลักษณะนึง เพราะแน่นอนว่ามันไม่ได้ยึดเอาร่างกายไปตลอดเวลา แต่มันอาศัยตอนเจ้าของร่างนอนหลับแล้วจึงเข้าสิงสู่ บางคนตื่นมา ตัวมีแต่โคลนแต่ดิน ก็เพราะโดนว่านโพงมันสิงร่างนี่เอง 
 
และถ้าหากว่าคุณคิดว่า วิชาอาคมคุณแกร่งกล้ามากพอ แน่นอนครับ ว่าหากปล่อยให้มันหิว ก็อย่าคิดว่าจะรอดจากมัน เพราะเมื่อมันหิว ออกไปหากินเอง มันก็จะออกไปหากิน โดยเป็นลักษณะดวงไฟสีเขียว แต่มีใบหน้าของผู้ที่เลี้ยงไว้อยู่ในนั้น ผมเดาเอาว่าสาเหตุน่าจะเพราะเอาเลือดของผู้เลี้ยงให้มันกิน มันจึงรับเอาพลังงานชีวิตของคนผู้นั้นไปด้วย จึงสามารถสร้างลักษณะหน้าตาของคนผู้นั้นได้ หรือถือเอาคนผู้นั้นเป็นเจ้าของมัน ซึ่งหากออกไปหากินแล้วมีคนจับได้ มันก็จะบอกชื่อและหมู่บ้านที่อยู่ของคนที่มันลอกเลียนลักษณะใบหน้านั้น เมื่อชาวบ้านรู้ ก็จะพากันบุกไป และขับไล่คนผู้นั้นไม่ให้อยู่ในหมู่บ้าน ด้วยความกลัว เพราะคนสมัยก่อนหวาดกลัวเรื่องปอบกันมาก และกฎหมายคุ้มครองส่วนบุคคล ที่ดิน ก็ไม่ได้ชัดเจนเหมือนสมัยนี้  
ที่มีเอกสารสิทธิ์ การครอบครองที่ดินอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรเหมือนสมัยนี้ ซึ่งสมัยนี้คงไม่อาจจะไปขับไล่ใครได้ง่ายๆเช่นนั้นแล้ว 


 
เรียกได้ว่า มันเลี้ยงไม่เชื่อง หากมันไม่อื่ม มันจะสร้างความเดือดร้อนให้ผู้เลี้ยงไม่ทางใดก็ทางนึง เว้นแต่จะรู้อาคมวิธีสะกดมันได้อย่างเด็ดขาด เรียกได้ว่าคนเลี้ยงต้องเก่งกล้าอาคมมากกว่ามัน และหากคิดว่าแค่นั้นเพียงพอแล้ว ก็ยังไม่จบ เพราะว่านโพงแม้จะสะกดได้ แต่ว่าฆ่ามันไม่ตาย ยามใดเมื่อผู้เลี้ยงสิ่นอายุไขไปแล้ว หากส่วนนึงส่วนใดของมันยังอยู่ ไม่ว่าจะแปรรูปให้อยู่ในรูปแบบใดก็ตาม จะเป็นระยะเวลา 10 หรือ 20 ปี วิญญาณในว่านโพงนั้นมันจะเกิดขึ้นมาใหม่ หากลูกหลานของคนผู้นั้นไม่เลี้ยงมันต่อไป มันก็จะกระทำเช่นเดิมกับลูกหลานของคนผู้นั้น อันนี้จึงเป็นที่มา ว่าเหตุใด ขมังเวทย์ทางอีสานหลายต่อหลายคน ที่มีสีผึ้งที่ทำจากว่านโพงที่ตัวเองทำไว้ หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกีับว่านโพงที่ตัวเองทำไว้ (ขมังเวทย์เสืออีสานแทบทุกคนจะต้องทำสีผึ้งมีว่านโพงของตัวเอง เพื่อเป็นการพิสูจน์และยืนยันถึงความแกร่งกล้าทางอาคมของตัวเอง) มักจะสั่งเสียให้เผาทำลายไปพร้อมกับตน หากสงสัยว่าทำไมไม่ถ่ายทอดวิชาการข่มและปราบ สะกดว่านโพงให้ลูกหรือหลานตัวเอง ธรรมเนียมของวิชาอีสาน มันจะไม่สอนลูกตัวเอง และบางครั้งก็ไม่อยากจะให้หลานของตัวเองเกี่ยวข้องหรือต้องมายุ่งยากลำบาก เป็นภาระจากสิ่งที่ตัวเองทำไว้ จึงเผาทำลายให้ตายไปพร้อมกับเจ้าตัว จึงเป็นการดีที่สุด คำสั่งเสียที่เสืออีสาน ขมังเวทย์นักเลงอาคมทางอีสานสั่งสอนลูกหลานกัน ก็คือ  
“จงร่ำเรียนความรู้และวิชา อย่าใฝ่หาอาถรรพ์” เพราะคนเล่นของ มันต้องถืออะไรหลายๆอย่างเพื่อแลกมากับอำนาจลี้ลับจากสิ่งที่มองไม่เห็น 


 
ใครอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ก็อย่าได้คิดไปริ เกี่ยวข้องเร้นลองอะไรกับว่านโพงมันเลยนะครับ เพราะไม่ต่างจากอสรพิษร้ายที่จะโดนมันแว้งกัดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มีว่านอื่นๆที่เลี้ยงและใช้ง่ายมากกว่าว่านโพงมากมาย รู้ไว้เพียงใช่ว่า ไว้ประดับความรู้ ได้เข้าใจ จะได้มีภูมิต้านทานทางปัญญา ได้รู้ว่ากระสือของแท้ๆมันเป็นแบบไหน เพราะคนเล่นของไม่ใช่คนงมงาย ไร้ปัญญาอย่างที่คนทั่วๆไปคิดกัน แต่หากคือคนที่รู้ในสิ่งที่คนทั่วๆไปไม่ได้รู้ เห็นในสิ่ง ที่คนอื่นๆไม่ได้เห็น เข้าใจในสิ่งที่คนอื่นๆยากจะเข้าใจกันก็เท่านั้นเอง 
 
เช่นเคยครับ หากชื่นชอบในบทความที่ผมเขียน ร่วมสนับสนุนเวปไซต์แห่งนี้ได้ง่ายๆ ด้วยการสั่งซื้อบูชา วัตถุผลงานจัดสร้างต่างๆของทางสำนัก เพราะนอกจากจะได้ของดีไว้สำหรับใช้เสริมสร้างความสุข ความปรารถนาทั้งหลายแล้ว ยังได้สนับสนุนค่าใช้จ่ายต่างๆของเวปไซต์ เป็นกำลังใจให้ผมได้เขียนและพยายามจัดทำเนื้อหาต่างๆ เป็นค่าเช่าโฮสท์เพื่อเก็บข้อมูลต่างๆเหล่านี้ไว้สำหรับผู้สนใจได้อ่านบันทึกเรื่องราวทางไสยเวทย์ อาคม ให้ได้เข้าใจและศึกษากัน ในแบบที่ไม่ได้มุ่งหวังให้เกิดความงมงายกัน 
 
                      สำนักฤษเวทย์ ไสยเวทย์วิทยาและมนตราอีสาน 
                                       ญ.ญาณวุฒิเทวัญ 
                                     สมิงมนตรามหาเสน่ห์ 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้