เรื่องเล่าลี้ลับ "ตำนานชาวกุลา"

Last updated: 16 ต.ค. 2566  |  168 จำนวนผู้เข้าชม  | 

เรื่องเล่าลี้ลับ "ตำนานชาวกุลา"

     เกริ่นถึงเรื่องราวของทุ่งกุลาร้องไห้ กันก่อน คำนี้หลายๆคนคงจะเคยได้ยินกันมา  
รู้กันเพียงว่า เป็นคำที่มีความหมายในตัว ที่บ่งบอกถึงความแห้งแล้ง กันดาร  
ของแผ่นดินที่ราบสูงนามเรียกขานกันว่า "อีสาน" แปลตามตัวก็คือทิศตะวันออกเฉียงเหนือ  
 
    พื้นที่ของอีสาน ที่เรียกกันว่าทุ่งกุลา ร้องไห้นั้น มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่  
กินพื้นที่รอยต่อของหลายจังหวัด โดยมีตั้งแต่พื้นที่ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด สุรินทร์ ศรีสะเกษ ยโสธร  
ซึ่งกว้างใหญ่มากทีเดียว หากแต่แร้งแค้น กันดาร ไม่มีแหล่งน้ำ  ยากแก่การหรอาหารและการดำรงชีวิต  
 
สำหรับนักเดินทาง สมัยโบราณแล้วถือเป็นที่ๆไม่มีใครกล้าหรืออยากสัญจรผ่าน  
ชาวกุลา นั้นเป็นพ่อค้าเร่ กลุ่มคาราวาน ที่เดินทางกันเป็นกลุ่มใหญ่  
จะว่าเป็นชนเผ่าเร่ร่อนก็ไม่ผิดนัก เปรียบแล้วก็เหมือนเผ่ายิปซีแห่งอุษาคเณย์  
ชาวกุลา เป็นกลุ่มพ่อค้า ที่ซื้อของจากที่หนึ่ง ไปขายยังอีกที่หนึ่ง  
บางครั้ง ก็รับจ้างต้อนวัวควาย รวมไปถึงรับจ้างขนสินค้า ขบวนเดินทางของผู้คน  
เพราะขึ้นชื่อชาวกุลานั้น เก่งกล้าเรื่องไสยศาสตร์ เล่นของเรียนวิชา  
เก่งเรื่องการป้องกันตัว ไม่กลัวการเดินทางอาถรรพ์ป่าใดๆ เพราะมีอาคมแก่กล้า  


 
ไม่มีใครกล้าหรือคิดที่จะแย่งชิง ขบวนเดินทางของชาวกุลา  
ถ้าเป็นคนที่มีเชื้อสายทางอีสาน น่าจะพอได้ยินคุ้นเคยกับคำว่า "นายฮ้อย "  
ผู้ที่นำขบวนค้าควายไปส่งตามที่ต่างๆ ก็มักจะเป็นชาวกุลา  
 
คนจะเป็นนายฮ้อยได้ ต้องมีความสามารถรอบด้าน เพราะโจรที่ขึ้นชื่อว่าป่าเถื่อนดุร้ายที่สุด  
ก็คือกลุ่มโจรปล้นควายนี่ล่ะครับ ในยุคสมัยที่กฎหมายยังเข้าไม่ถึง  
ผู้คนต้องดูแลกันเอง การขนถ่ายสินค้า ก็ต้องอาศัยนายฮ้อย และชาวกุลานี้ 
คอยช่วยจัดการ ดังนั้นชาวกุลา จึงได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มคนที่แข็งแกร่ง และอดทน  
มีความสามารถมากกว่าชนอื่นๆ  
 
แต่แม่จะแข็งแกร่งเพียงใด ชาวกุลาก็มาพ่ายแพ้ให้กับความกันดารของทุ่งแห้งแล้งผืนใหญ่  
ที่ต่อมาเรียกขานว่า "ทุ่งกุลาร้องไห้" อันเป็นความหมายที่คนสมัยนั้นได้ยินแล้ว 
ก็ไม่กล้าคิดจะเดินทางสัญจรผ่าน เพราะขนาดชาวกุลา ที่ว่าแข็งแกร่งและอดทน  
ยังต้องร้องไห้เสียน้ำตา ยอมแพ้ให้กับความแห้งแล้งของทุ่งผืนนี้  


 
เล่าคร่าวๆก็คือ ชาวกุลา ขนสินค้าเพื่อไปขายโดยเดินทางผ่านทุ่งกุลานี้  
จนเสบียงหมด ต้องยอมทิ้งสัมภาระบางส่วน ไป จนสุดท้ายต้องยอมทิ้งสินค้าทั้งหมด  
ต้องเดินทางเพียงตัวคนเท่านั้น เมื่อพ้นจากเขตที่เรียกกันว่าทุ่งกุลา พบเจอกับแหล่งน้ำ  
แล้วจึงร้องไห้ดีใจ ว่าพ้นจากความตายแล้ว  
 
เมื่อเดินทางต่อไป ชาวบ้านพบขบวนเดินทางชาวกุลาก็ดีใจ เพราะต้องการจะซื้อสินค้าของชาวกุลา  
เมื่อพบเห็นชาวบ้าน ก็นึกได้ว่าตัวเองทิ้งสิ่งของต่างๆไปหมดแล้ว  
เสียดายเงินและสิ่งของ ชาวกุลาก็ร้องไห้ด้วยความเสียใจออกมาอีก  
เมื่อเล่าเรื่องราวให้ชาวบ้านฟัง ตั้งแต่นั้นผู้คนจึงได้เรียกขานพื้นที่แห้งแล้งนั้นว่า  
"ทุ่งกุลาร้องไห้" มาตั้งแต่นั้น เพื่อเป็นการเตือนใจว่า อย่าได้คิดไปสัญจรเดินทางผ่านเส้นทางนั้นกัน  
 
 
เกริ่นเรื่องราวชาวกุลาแล้ว ต่อไปจะว่าถึงเรื่องราวของชาวกุลาที่เกี่ยวพันกับทางไสยเวทย์  
อาคม อย่างที่เกริ่นไปข้างต้น ชาวกุลาล้วนมีความสามารถ และวิชาอาคมที่กล้าแข็ง  
และแตกต่างจากวิชาอาคมเวทย์มนต์ของทางอีสาน  
 
แม้ทางอีสานจะได้ชื่อว่ามีวิชาเวทย์มนต์ที่มีเอกลักษณ์เป็นของตน  
แต่ชาวกุลา ก็มีวิชาอาคมที่แตกต่างออกไป เป็นของเฉพาะกลุ่มตนเช่นเดียวกัน  
 
ชาวกุลาว่ากันว่าเป็นชนเผ่าอพยบมาจากรัฐฉาน เป็นพวกไทยใหญ่  
บ้างก็ว่าเป็นกะเหรี่ยงดำ บ้างว่าเป็นชาวทมิฬจากอินเดียใต้ ซึ่งยังไม่มีข้อสรุป  
เพราะชาวกุลาในปัจจุบัน ได้ลงหลักปักฐาน และหลอมรวมวัฒนธรรม  
ใช้ชีวิตกลมกลืนไปกับชาวอีสานแล้ว จะเรียกว่าสูญสิ้นชนชาติกุลาไปแล้ว ก็ไม่ผิดแต่อย่างใด  
แต่ทั้งนี้ ช่วงก่อนที่จะหลอมรวม มรดกที่ชาวกุลาทิ้งไว้ก็คือวิชาอาคมต่างๆ  
ที่ยังพอมีสืบกันอยู่บ้าง  
 
ในบันทึกตำราใบลานที่เมื่อแกะข้อความ บางส่วนก็พบว่าระบุไว้ชัดเจนว่า สืบต่อจากชาวกุลา  
และที่แน่ๆ ภาษาของเนื้อมนต์ แตกต่างจากมนต์อีสานบทอื่นๆอย่างชัดเจน  
ยกตัวอย่าง มนต์บางวรรค ที่ผมได้สืบต่อร่ำเรียนมา "ถุถุลา มะคุลา บังคุลา คะละลา"  
(ใครอย่างเอาไปท่องมั่วๆน่ะครับ เพราะนอกจากจะไม่ใช่บทเต็มที่ไม่เกิดอานุภาพใดๆแล้ว ยังอาจจะเจออาถรรพ์จากเจ้าของครูวิชาที่ท่านสาปไว้ เพราะมนต์บทนี้ต้องยกคาย ยกครูตามกำหนดเท่านั้น)  



 
แต่ส่วนตัวผมเชื่อว่าชาวกุลาน่าจะมีหลายชาติพันธุ์ แต่ที่แน่ๆ มีส่วนของชนชาติไทใหญ่  
เพราะอักขระ เลขยันต์ ที่พบจากการบันทึก เป็นอักขระที่มีลักษณะคล้ายตัวอักษรพม่า  
ซึ่งต่างจากตัวธรรมลาวและตัวธรรมล้านนาอย่างชัดเจน เวทย์มนต์ของชาวกุลา  
สำหรับคนที่เรียนมนต์ทางอีสาน ถือเป็นเสน่ห์ลึกลับดำมืด ที่พยายามเสาะหากัน  
จะด้วยความอยากแตกต่าง ไม่เหมือนใคร หรือด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม  
ยิ่งหายากก็ยิ่งเป็นที่ต้องการครอบครอง ตัวผมเองก็เคยเสาะหาอย่างบ้าคลั่ง  
ได้มาก็ไม่น้อย สุดท้ายก็ได้ค้นพบว่า วิชาไสยศาสตร์ หาได้ชี้วัดกันที่ความแปลกหรือไม่เหมือนใคร  
หากแต่ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับแรงครู เสาะหาวิชาอย่างยากลำบากเพียงใด  
แต่หากเข้าไม่ถึงแรงครูแล้ว คาถาบทใดๆก็แทบไม่ได้ผล หากแต่เมื่อเข้าถึงแรงครูได้  
คาถาบทใดๆ ก็ทรงอานุภาพและสำแดงอิทธิฤทธิ์ได้ทุกๆบท  
 
 
 
                                                   ญ.ญาณวุฒิเทวัญ  
                                                 สมิงมนตรามหาเสน่ห์  
                                      สำนักฤษเวทย์ ไสยเวทย์วิทยาและมนตราอีสาน  
 
 
หากชื่นชอบในบทความ สนับสนุนเวบไซต์ ได้ด้วยการสั่งซื้อ บูชาวัตถุจัดสร้างของทางสำนัก  
ได้ทั้งของดีที่ผ่านกระบวนการจัดสร้างครบถ้วนทั้งมวลสารและพิธีกรรม ทั้งยังช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายต่างๆของเวบไซต์แห่งนี้ และเป็นกำลังใจให้ผมจัดทำเนื้อหา รวบรวมและสรรหาเรื่องเล่า บทความต่างๆ ให้ได้ศึกษากันต่อไปครับ 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้