Last updated: 5 ต.ค. 2565 | 718 จำนวนผู้เข้าชม |
มาว่ากันต่อถึงเรื่องราวของ"น้ำมันพราย"
น้ำมันพราย มีหลายแบบ แบบดั้งเดิม โบราณที่หาได้ยาก เป็นการลนจาก
ส่วนต่างๆของศพ ที่ถือกันว่าเป็นน้ำมันพรายที่มีอิทธิคุณอย่างสูงสุด อิทธิ
คุณตามตำราแท้จริง จะต้องมาจากการลนที่บริเวณใต้คาง ใบหู นม และ
ต้องเป็นน้ำมันพรายที่ได้จากศพของหญิงสาว ยิ่งถ้าตายทั้งกลมจะยิ่งดี
เพราะมีความเฮี้ยนมาก จำนวนที่ได้จะน้อยมากๆ ประมาณครึ่งถ้วยเล็ก
หรือราวๆ ๕๐ ซีซี มากสุดก็ไม่เกิน ๑๐๐ ซีซี จึงเป็นที่หวงแหนและมีราคา
แพงมานานแล้ว ซึ่งสมัยนี้จะหาไม่ได้อีกแล้ว
อีกแบบคือได้มาจากชิ้นเนื้อส่วนบริเวณอื่นๆ ไหลออกมาเองไม่ได้มาจาก
การลน และไม่จำกัดว่าเป็นเพศใด สมัยก่อนเรียกว่า"น้ำค้างศพ"
เป็นน้ำมันพรายที่ใช้ได้ อิทธิคุณจะน้อยลงไปกว่าแบบแรก
สมัยนี้ก็ไม่มีแล้วเช่นกัน เหตุเพราะค่านิยมของการเก็บรักษาศพของสมัยนี้
ที่ต่างออกไป คนสมัยนี้อาจจะเกิดไม่ทัน ถ้าคนเกิดรุ่นผมก็อาจจะพอรู้กันอยู่
ว่าสมในก่อนนี้การเดินทางไม่ได้สะดวก สบายเหมือนในปัจจุบัน เมื่อมีญาติ
เสียชีวิต จะไม่เผาศพและปลงศพในทันที แต่จะเก็บเอาไว้ก่อน เพื่อรอถึง
เวลาวันรวมญาติ แล้วจึงมาทำการฌาปนกิจทีเดียว ระยะเวลาที่เก็บรักษา
ศพไว้ จึงราวๆ ๖ เดือน ไปจนถึง ๑ ปี
การเก็บรักษาศพ ก็ไม่ได้มีห้องเย็น หรือฉีดยาฟอร์มาลีนแบบสมัยนี้
แต่จะใช้วิธีฝัง หรือสำหรับคนฐานะยากจน หรือไร้ญาติ ก็จะใช้วิธีห่อม้วน
ด้วยเสื่อกก แล้วแขวนไว้กับต้นไม้ รอจนถึงเวลาญาติมาจึงทำการฌาปนกิน
ปลงศพต่อไป
ซึ่งแบบที่สอง คนเรียนวิชาที่เสาะหาน้ำมันพราย ก็จะไปใช้กะลาทำการรอง
จากวิธีการค้างศพนั่นเอง ปริมาณที่ได้ก็จะเยอะกว่าแบบแรก เพราะมาจาก
ทุกส่วนของศพ ส่วนใหญ่ที่ได้ๆกันมาจะเป็นแบบที่สองนี้ วิธีนี้ถือว่า
ปลอดภัยกว่าวิธีแรก เพราะไม่ได้ไปทำการล่วงละเมิด หรือต้องใช้อาคม
สะกดวิญญาณคนตาย เพื่อให้ได้น้ำมันพรายเหมือนวิธีแรก
ส่วนวิธีแรกนั้น ต้องเป็นคนมีอาคม สำเร็จอาคมขั้นสูง เพราะต้องทำการ
สะกด ปลุก และพลีจากศพ หากทำผิดวิธีหรือข้ามขั้นตอน อาจจะโดน
ความโกรธแค้นของเจ้าของร่างกาย ทำร้ายเอาจนถึงชีวิตได้ น้ำมันพราย
แบบอิทธิคุณครบตามตำรา จึงหายาก เป็นที่หวงแหน และราคาสูงมาเนิ่น
นานแล้ว
ส่วนอีกแบบมาจากการเคี่ยวกระดูกของศพ วิธีนี้ส่วนใหญ่มักจะมาจากการ
ล้างป่าช้า แบบนี้ถือว่ามีคุณสมบัติตามตำราน้อยที่สุด โดยส่วนใหญ่แบบนี้
จะไม่เรียกว่าน้ำมันพราย แต่จะเรียกว่าน้ำมันอาถรรพ์แทน แบบนี้จะเป็นที่
แพร่หลาย ราคาไม่สูง ส่วนใหญ่สมัยนี้จะเป็นแบบนี้แทบจะทั้งนั้น
และอีกแบบที่มีมาไม่นาน คือน้ำมันส่วนที่ไหลออกตอนเผาศพ ที่สัปเหร่อ
รองไว้ใต้เมรุ แบบนี้จะเป็นที่นิยมเพราะไม่ผิดกฎหมาย ไม่ประเจิด ประเจ้อ
ที่อยู่ในท้องตลาดปัจจุบันและราคาไม่สูง ส่วนใหญ่จะเป็นแบบที่ผมกล่าว
มานี้
แบบแรก น้ำมันพรายที่ได้จากศพโดยตรง มีการสะกดวิญญาณ ภูติพราย
มาใช้งาน มักจะอยู่ในความครองครองของผู้มีอาคมเท่านั้น เพราะน้ำมัน
พรายชนิดนี้ มักจะสะกดและผนึกวิญญาณไว้ เพื่อเอามาใช้งาน ถ้าเป็นผี
ตายท้องกลมก็ผ่าท้อง เอาหัวกระโหลกเด็ก แล้วจะสะกดวิญญาณลูกไว้
แล้วบังคับให้แม่ทำสิ่งต่างๆ ตามที่ผู้สะกดไว้ต้องการ หากไม่เชื่อฟังหรือไม่
ทำตาม ก็จะทำการเฆี่ยนตีไปที่ลูก แม่จะยอมทำตามเพราะไม่อยากให้ลูก
เจ็บและทรมาน แบบนี้อันตรายและถือว่าโหดร้ายมากๆ หากเผลอและสบ
ช่อง ไม่ระวังตัว อาคมเสื่อมไม่กล้าแข็งขึ้นมาวันใด ส่วนใหญ่จะโดน
วิญญาณทำร้ายถึงแก่ความตายกันทั้งสิ้น แบบแรกจะใช้งานประจำสำนัก
หรือส่งต่อให้ลูกศิษย์ ลูกหลานผู้สืบทอดวิชาอาคมต่อไป ซึ่งถ้าลูกศิษย์
หรือลูกหลาน อาคมไม่แกร่งพอ ก็โดนดีเอาได้ง่ายๆ ส่วนใหญ่จึงมักจะไม่มี
การส่งต่อเท่าใดนัก
ส่วนแบบที่สองหรือแบบอื่นๆ ส่วนใหญ่จะใช้วิธีกล่อมพราย หรือเจรจากับ
พราย แลกเปลี่ยนระหว่างจะเลี้ยงเซ่น อุทิศผลบุญ โดยวิญญาณก็จะ
ทำงานให้เป็นการตอบแทน แบบนี้จะมีความอันตรายน้อยกว่า และที่
ตกทอดกันมาจะเป็นกรณีนี้ส่วนใหญ่
ที่เอ่ยมานี้เป็นประเภทของน้ำมันพราย จะเห็นได้ว่า ไม่มีน้ำมันพราย
ประเภทไหน ที่ระบุว่าเอาน้ำมันพรายมาใช้ดีด หรือป้ายคนที่หมายปองเลย
นั่นก็เพราะว่าน้ำมันพรายนั้น ไม่ได้ทำงานแบบนั้น แต่การป้ายและดีด เป้นคุ
รสมบัติอย่างนึงของน้ำมันพราย และอีกประการนึง ไม่ได้ใช้เพียงแค่การ
ทำให้คนที่เราหมายปองหลงรัก และใจอ่อนยอมมาอยู่กินกับเราเพียงอย่าง
เดียว แต่คุณสมบัติอีกอย่างคือสามารถใช้ทำร้ายศัตรู อีกด้วย
เริ่มจะยาวเกินไป ไปว่ากันต่อตอนหน้า
มารู้กันถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ในน้ำมันพรายคืออะไร?
แล้วใช้น้ำมันพรายป้ายหรือดีดใส่ มันมาจากไหน?
ใช้น้ำมันพรายแล้วสาวติด มันมีจริงหรือไม่?
ตอนหน้าใกล้จะสรุปส่งท้ายถึงความลับของน้ำมันพราย
ที่คนใช้ไม่รู้ คนที่รู้จะไม่ใช้
27 เม.ย 2566
1 ส.ค. 2566
2 เม.ย 2566
13 ก.ย. 2566