Last updated: 4 ก.ย. 2565 | 2699 จำนวนผู้เข้าชม |
นะ มะ พะ ทะ คาถาธาตุ ๔ ที่เป็นมากกว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ
คาถาแรกๆที่ควรจะรู้และเข้าถึง แต่กลับเป็นคาถาที่คนร่ำเรียนอาคม
สมัยนี้กลับมองข้ามและเข้าไม่ถึง
ว่าถึงคาถา นะ มะ พะ ทะ เป็น คาถาขั้นต้นที่คนร่ำเรียนวิชาอาคม
ล้วนแต่เคยผ่านและคุ้นเคยกันดี เป็นคาถาง่ายๆ ที่คนเรียนอาคมหลายๆคน
ปรามาสว่าเป็น "คาถาเด็กๆ" หรือคาถาฝึกหัด แค่ ๔ ตัว
ท่องได้ จำให้ได้ว่า
นะ คือ ธาตุน้ำ
มะ คือ ธาตุดิน
พะ คือธาตุไฟ
ทะ คือธาตุลม
เท่านี้ก็สำเร็จวิชาคาถาธาตุแล้ว.......
ร้อยละเก้าสิบของคนเรียนอาคมที่คิดแบบนี้ มักจะเป็นคนที่ไปไม่ถึงไหน
คนประเภทที่คิดแบบที่ว่ามา มักจะเป็นคนที่เรียนไสยศาสตร์ แล้วไม่พบเจอความสำเร็จความก้าวหน้า และมักจะถอดใจเลิกเรียนเลิกสนใจเรื่องของ
คาถาอาคมไปในที่สุด
เหตุเพราะคาถาธาตุ ๔ นะมะพะทะ เป็นคาถาที่มีอะไรลึกซึ้งและยิ่งใหญ่
มากมายกว่านั้นซ่อนอยู่ สิ่งที่คาถา ๔ ตัวนี้เป็นนั้น คือจุดเริ่มต้นของการจะ
ใช้คาถาอาคมให้สำเร็จ หรือที่เรียกว่าเสกวิชาได้เป็นตัว ก็ขึ้นอยู่กับความ
เข้าใจ และความเข้าถึงของการใช้คาถาธาตุ นะมะพะทะ นี้ หากเข้าไม่ถึง ไม่
แตกฉานในวิชาธาตุ จะใช้คาถาอาคมบทใดๆ ก็ไม่มีทางเกิดพลัง เมื่อเข้าถึง
และแตกฉานในวิชาธาตุ จึงจะสามารถหยิบยืม พลังงานต่างๆของ
ธรรมชาติ ของทั้งจักรวาลนี้มาช่วยหนุนให้เกิดพลังที่จะทำให้เกิดผล ไปใน
ทางต่างๆได้
เรื่องของ นะมะพะทะ นี้ถ้าจะใช้สาธยายจริงๆก็ยาวมาก ๓ วันก็แทบจะไม่
จบ จึงขอย่อเรื่องราวแบบพอสังเขป ใครอยากรู้เพิ่มเติม ก็ไปค้นคว้า
ทำความเข้าใจต่อยอดกันต่อไปครับ
มาว่าย้อนกันไปถึงตำนานแห่งมูลศาสนา การก่อกำเนิดของภัทรกัปป์นี้
ตามตำนานเมื่อครั้วงจักรวาลนี้สิ้นสุด ด้วยไฟประลัยกัลป์ล้างไปเมื่อดับลง
แล้ว ถึงคราวที่จักรวาลนี้ได้กำเนิดใหม่ ก็บังเกิดเป็นดอกบัวขึ้นมา ๕ ดอก
เหล่าพรหมก็ล้วนตื่นเต้นที่จะได้เห็นพระพุทธเจ้า มาประกาศศาสนาในภัทร
กัปป์นี้ถึง ๕ พระองค์ ดอกบัวทั้ง ๕ บังเกิดเป็นอักษรว่า "นะ โม พุท ธา
ยะ" อันหมายถึงพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ที่จะมาอุบัติประกาศศาสนา
นำพาสัตว์โลกพ้นจากวัฎฎะสงสารแล้วจึงจะสิ้นสุดภัทรกัปป์นี้ เรื่องราว
พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ หลายคนน่าจะพอรู้คร่าวๆ จึงขอไม่กล่าวขยาย
ความมากกว่านี้ เพราะเนื้อหาจะยาวเกินไป
"นะ มะ พะ ทะ" จึงเป็นอักษรนำหน้าของ "นะโมพุทธายะ"
ซึ่งอันที่จริงแล้ว ควรจะเป็น "นะ มะ พะ ธะ" จึงจะถูกต้อง ถ้าเป็นหนังสือ
คาถาอาคมโบราณ จะพบเห็นว่าเขียนแบบหลัง แต่พอมาสมัยใหม่ มักจะใช้
"นะมะพะทะ" แทน ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไร เพราะ
" นะโมพุทธายะ " เมื่อเขียนแบบ "ธา" ขอม อักษร ธ จะกลายเป็นตัว
เชิงลงล่างไป ใช้เป็นตัวอักษร ท นำหน้าแทน เนื่องจากฟอนต์ของเวปไซต์
ไม่รองรับอักษรขอม จึงยกตัวอย่างชัดเจนไม่ได้ แต่เท่านี้ก็คงพอจะรู้กัน
แล้ว ส่วนทำไมจึงเหลิอแค่ ๔ เป็นแค่ นะโมพุทธา นะมะพะทะ
ยะ หายไปไหน ตามคติความเชื่อก็คือ ขณะนี้เราอยู่ในยุคพระพุทธเจ้าองค์
ที่ ๔ องค์ที่ ๕ ยะ พระศรีอาริยะเมตตรัยยังไม่ถึงยุคของท่าน จึงยึดถือเอา
เป็นปัจจุบัน ที่ ๔ อักษร
ส่วนหากมีใครสงสัยว่า ยุคก่อนสมัยพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓
พระกัสสโปพุทโธเจ้านั้นจะใช้แค่ ๓ ตัวหรือเปล่า ผมเองก็ไม่ทราบ
เพระระลึกชาติไม่ได้ ส่วนใครสงสัยอยากจะเสาะหาผู้ที่ระลึกชาติได้หรือหาก
ตัวท่านระลึกชาติได้ไกลถึงขนาดนั้นเองได้ ทราบแล้วก็ช่วยมาบอกผมที
ดังนั้น นะมะพะทะ จึงเป็นเสมือนการระลึกถึงคุณ อำนาจ เมตตา บารมี
ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งภัทรกัปป์นี้ ที่อุบัติมาแล้วทั้ง ๔
พระองค์ ส่วนอีกอย่างนึกก็คือธาตุ ๔ นี้ เป็นจุดกำเนิดแห่งสรรพสิ่งทั้ง
ปวง เพราะจักรวาลนี้ ประกอบไปด้วยธาตุทั้ง ๔ นี้ (อันที่จริงคือ ๕ ยะ คือ
ธาตุอากาศ แต่เป็นลักษณะไม่มีสสาร สัมผัสไม่ได้ ) และ นะ มะ พะ ทะ ก็
ไม่ใช่ น้ำ ดิน ไฟ ลม ตามชื่อ แบบที่หลายๆคนเข้าใจ ซึ่งอันนั้นเป็นธาตุ
หยาบ ที่กระกอบด้วยโมเลกุล สสารทั้งหลายที่เปลี่ยนพันธะเป็นรูปธรรม
แล้ว
นะ มะ พะ ทะ คือธาตุละเอียด แยกย่อยไปจนเป็นส่วนเล็ก ถึงเล็กที่สุด ใน
ระดับอะตอม ไปจนถึงอิเลคตรอน และละเอียดไปจนเป็นถึงปรมาณู ที่เล็ก
จนไม่อาจจะมองเห็นด้วยตาเปล่า
และสำหรับใครที่ไม่รู้เหล่าพรหม เทพ ฤาษี ที่มีอายุอยู่มาก่อนภัทรกัปป์นี้
ท่านจะนับถือธาตุ นะมะพะทะ นี้กันมาก เพราะถือเป็นต้นกำเนิดแห่ง
จักรวาลนี้ทั้งปวง เป็นพลังงานของพระเป็นเจ้าที่ให้กำเนิดทุกสรรพสิ่ง
เพราะเหล่าเทพเทวาทั้งหลาย ท่านไม่ได้กำเนิดมาแบบมนุษย์ ท่านกำเนิด
จากพลังงาน ท่านจึงนับถือธาตุ นะมะพะธะ นี้ เป็นเสมือนดั่งบิดา มารดา
แห่งท่าน ท่านจะให้การยกย่องและเคารพกันมาก
ถ้าหากใครเคยเรียนวิชาอาคม เกี่ยวกับธาตุมาบ้าง ก็คงจะพอคุ้นกับคาถา
ตั้งธาตุ ชุมนุมธาตุ บูชาธาตุ และประดิษฐานธาตุ ซึ่งโบราณจารย์ท่านมัก
จะกำชับไว้ว่าต้องกระทำการเกี่ยวกับธาตุ ก่อนจะกระทำปลุกเสกวัตถุอาคม
สักเสกเลขยันต์ใดๆทั้งปวง หลักจากบูชาพระรัตนตรัย บูชาครูแล้ว ก็จะ
ทำการบูชาธาตุ หรือบางสายก็กระทำไปพร้อมๆกัน ยกตัวอย่างคร่าวๆก็
เอหิ ปฐวี พรหมา เอหิ อาโป อินทรา
เอหิ เตโชนารายณ์ เอหิ วาโย อิศรา
ถ้ามาพิจารณาดูคาถาดีๆ แปลความหมายคร่าวๆ จะได้เป็น
ขอเชิญ ธาตุดิน แทนพระพรหม ขอเชิญ ธาตุน้ำ แทนพระอินทร์
ขอเชิญ ธาตุไฟ แทนพระนารายณ์ ขอเชิญ ธาตุลม แทนพระอิศรว
อันเป็นถึงมหาเทพทั้งสิ้น ตรงนี้บางคนอาจจะเถียงว่า มหาเทพฮินดู มีแค่
สาม คือพระพรหม พระนารายณ์ พระอิศรวร เท่านั้น พระอินทร์มาจาก
ไหน ใครที่สงสัยแบบนี้ คือคนที่ไม่ได้ศึกษา ไม่เคยอ่านเกี่ยวกับพระเวท คติ
ฮินดูโบราณนั้นนับถือพระอินทร์อย่างมาก เพิ่งจะมาโดนลดบทบาทในภาย
หลัง และแม้ฮินดูจะพยายามลดความศักดิ์สิทธิ์ของพระอินทร์ไป โดยแต่ง
เสริมเรื่องราว ป้ายสีเรื่องฉาว ให้คนนั้นเลิกนับถือพระอินทร์ไป แต่สำหรับ
ในทางพุทธนั้นนับถือพระอินทร์เป็นอย่างมากอยู่ พระอินทร์ในทางพุทธ
ท่านจะทรงคุณธรรมเป็นอย่างมาก ในหลายๆวิชาไสยเวทย์ของไทยก็มี
หลายวิชาที่กล่าวยกเอาคุณธรรมและบารมีของพระอินทร์
ดังนั้น ธาตุ ๔ นะมะพะทะ ที่บางคนเคยมองข้าม เคยปรามาส ว่าเป็นคาถา
เด็กๆ คาถาง่ายๆ คงจะไม่มีอานุภาพใดๆ ก็จงไปคิดและพิจารณาเอาใหม่
ครับ ว่าคาถา ๔ ตัวนี้ เป็นดั่งเช่นที่คุณเคยคิด และเคยปรามาสเอาไว้หรือ
ไม่ ดังนั้นใครที่เห็นคาถาทั้ง ๔ ตัวนี้ อยู่ในผ้ายันต์ อยู่ในวัตถุมงคล ใช้คาถา
ธาตุ ๔ นี้ในการปลุกเสก ประจุอาคมวัตถุชุดๆใดๆ ก็อย่าเผลอปรามาสเกจิ
ผู้จัดสร้างวัตถุไปล่ะครับ ว่าเอาคาถาง่ายๆมาใส่ทำไม
แต่มันคือต้นกำเนิดแห่งพลังงานทั้งหลายระดับปรมาณูของวัตถุชิ้นนั้นๆ
กลับกันแล้ววัตถุไหนที่ไม่ได้ใส่อักขระทั้ง ๔ ตัวนี้ หรือใครที่มองข้ามการจะ
ใช้คาถาธาตุทั้ง ๔ นี้ไป การจะไม่มีพลังงานใดๆก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เว้นแต่
อำนาจจิตคุณจะเข้มแข็งพอ แกร่งกล้ามากกว่าพลังงานระดับปรมารณูของ
ธาตุทั้ง ๔ นี้แล้ว ใช้เพียงพลังจิตของคุณในการทำวัตถุต่างๆให้มีพลังงาน
ได้โดยไม่ต้องใช้พลังงานจากธาตุทั้ง ๔ ที่สร้างโลกและจักรวาลนี้ได้ เช่นนั้น
ผมก็ไม่มีอะไรจะกล่าว และอันที่จริงวิเศษขนาดนั้นแล้ว ก็ไม่ควรจะมาอ่าน
บทความ หรือมาศึกษาอะไรจากข้อเขียน ไสยเวทย์ฝึกหัดที่รู้เรื่องต่างๆ
เพียงน้อยนิดแบบผม
เนื้อหายาว อาจจะยากในการทำความเข้าใจ เพราะจริงรายละเอียดเกี่ยวกับ
วิชาธาตุยังมีอีกเยอะมากมาย ใครที่คิดว่าเรียนคาถาธาตุเป็นเรื่องง่ายก็คง
ต้องไปคิดใหม่ การเรียนคาถาธาตุ วิชาธาตุเป็นเรื่องน่าเบื่อ แต่หากเรียน
แล้วเข้าถึง แล้วแตกฉาน คุณจะเรียนมนตืคาถาอื่นๆก็ไม่ใช่เรื่องยาก
เรียนคาถาธาตุได้แตกฉาน ก็แทบจะไม่ต้องไปเรียนคาถาอื่นๆใดๆเพิ่มเติม
เพราะธาตุ ๔ ก็ทำได้ครบแทบจะทุกอย่าง หากสำเร็จขั้นสูงสุดขึ้นมาทำได้
ทั้งหายตัว ทั้งเหาะเหินเดินอากาศ ได้ทั้งสิ้น แต่สำหรับคนที่คิดศึกษาและ
อยากเรียนไสยเวทย์อาคม เพื่อนำมาหนุนเสริมชีวิตทั้งตัวเองและผู้อื่น ก็ไม่
จำเป็นว่าจะต้องให้แตกฉานหรือสำเร็จไปจนถึงขั้นนั้น แค่ให้เข้าถึง และรู้
ถึงที่มาของความหมายคาถาธาตุ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
ทิ้งท้ายไว้นิด เคล็ดลับของการเสกของให้แรง เสกของให้มีพลัง จับแล้ว
ขนลุกขนพองทั้งตัว หลักๆมันก็คือการใช้คาถาธาตุครับ วัตถุชองหลวงปู่
หลวงพ่อ เกจิหลายๆท่านที่ว่ากันว่าแรง ทุกๆท่านล้วนแต่สำเร็จวิชาธาตุ
อย่างแตกฉานทั้งสิ้น
เข้าไม่ถึงวิชาธาตุ ละเลยวิชาธาตุ มองข้ามวิชาธาตุ
ก็อย่าคิดเรียนไสยศาสตร์ เพราเรียนไปก็ไม่สำเร็จ ไม่มีวันเกิดผล
แนะนำให้แล้ว สำหรับใครสนใจศึกษาไสยเวทย์อาคม
แล้วยังไม่พบเจอความสำเร็จ เสกวิชายังไม่เป็นตัว เอาไปทบทวนไปลอง
ฝึกฝนกันดูใหม่ เพื่อให้เกิดความคืบหน้า จะได้มีกำลังใจในการฝึกฝนและ
ร่ำเรียนวิชาไสยเวทย์อาคมกันต่อไป
แต่หากใครคิดจะมองข้ามวิชาธาตุต่อไป อันนั้นก็เชิญ
2 พ.ย. 2565
5 ต.ค. 2565
27 เม.ย 2566
2 เม.ย 2566