Last updated: 6 ม.ค. 2565 | 901 จำนวนผู้เข้าชม |
มาว่ากันถึงเรื่องราวของ "ปอบ" กันต่อ
"ปอบ" ความน่ากลัวของมันก็คือ เมื่อมันเข้าสิงเพื่อกินแล้ว
มันจะไม่กินเพียงคนเดียว มันยังมีน้ำใจไมตรี กวักมือเรียกเพื่อนๆชองมันมาอีกด้วย คือมันเห็นร่างกายคนผู้นั้น เป็นดั่งโต๊ะจีน เป็นสำหรับกินเลี้ยง รวมญาติสังสรรค์ของพวกมัน
ดังนั้นร่างกายคนผู้คน เมื่อระยะเวลาผ่านไป จะไม่ได้มีปอบเพียงตัวเดียว แต่จะค่อยๆเพิ่มจำนวนไปเรื่อยๆ เป็น ๒ ๓ และมีเพิ่มได้สูงสุดถึง ๙ ตัว เพราะว่าปอบมันจะไม่ได้กินคนผู้นั้นทีเดียว แต่บางครั้ง
มันเกิดติดใจรสชาติปราณ เลือด วิญญาณของคนผู้คน แล้วเลี้ยงไว้เรื่อยๆ คือปล่อยให้คนผู้นั้น ฟื้นฟูสภาพร่างกาย เพื่อจะได้มีเวลาสิงและกินอย่างยาวนาน ทางนึงเพื่อให้มันได้มีเวลาสะสมกำลังให้มันมีพลังแข็งกล้า รวมไปถึงเรียกพวกของมันมา ให้ได้มารวมกันที่ร่างกายของคนผู้นั้น ใครที่มีปอบอยู่ในร่างกายถึง ๙ ตัว
ถือว่าเป็นปอบแก่กล้ามาก ยากต่อการปราบและไล่
แต่ในกรณีที่คนๆนั้นจะมีปอบสิงอยู่ในร่างกายได้ถึง ๙ ตัว ส่วนใหญ่
จะเป็นกรณีปอบวิชา มากกว่าจะเป็นปอบที่สิงเพื่อกินร่างกาย
เพราะส่วนใหญ่ ผู้ร่ำเรียนหรือมีอาคม มีของมีวิชา
มักจะมีกำลังจิตกล้าแข็ง ทำให้ปอบมันไม่สามารถมีอำนาจ หรือควบคุมร่างกาย หรือจิตใจคนผู้นั้นได้ เข้าทำนอง เป็นแต่ไม่เกิดอาการ เมื่อผิดข้อห้าม ผิดข้อคลำมากๆ สะสมไปเป็นเวลานานๆ
จึงได้เกิดมารวมเป็นปอบครบ ๙ ตัว หรือพญาปอบขึ้นมา เมื่อนั้นก็สายเกินแก้ไปเสียแล้ว
มาว่ากันถึงอาการของคนที่เป็นปอบ ที่คนอีสานโบราณจะตั้งข้อสังเกตุกันไว้ ว่าคนที่เป็นปอบมักจะเป็นคนประเภท
๑.เป็นคนชอบเก็บตัว ไม่คบค้าสมาคมกับใคร
๒.เป็นคนชอบเรียนอาคม และประกอบอาชีพไสยศาสตร์เพื่อเลี้ยงตัว
เช่นหมอเสน่ห์ ทำฝังรูป ฝังรอย เป็นอาจารย์สอนวิทยาคมต่างๆ
๓.เป็นหมอผีฟ้า ผีทรง
......
......อันที่จริงแล้ว ก็เป็นการตั้งข้อสังเกตุที่คับแคบไปหน่อย
เพราะถ้าหากเอาใครที่มีเงื่อนไข ตรงเพียงแค่ ๒-๓ ข้อนี้แล้วเหมาว่าเป็นปอบ ผมเองก็น่าจะเป็นปอบเพราะเข้าข่าย ๒ ข้อแรก และก็มีคนเรียนอาคม ประกอบวิชาไสยศาสตร์ เปิดสำนัก อีกหลายร้อยคนที่เป็นปอบ จึงน่าจะเป็นการตั้งข้อสังเกตุที่แคบมากเกินไป
ด้วยข้อสังเกตุคนเป็นปอบ ๓ ข้อนี้ จึงเป็นเรื่องปรกติธรรมดา ที่ในพื้นที่ จ.อีสาน หลายๆแห่ง มักจะไม่ต้อนรับคนต่างถิ่น และกลัว บางครั้งก็ไปจนถึงรวมตัวขับไล่ ผู้ที่มากระทำการประกอบอาชีพ เปิดสำนักไสยศาสตร์ หรือสถานเบาก็จะไม่ค่อยได้รับการยอมรับจากคนในชุมชน ด้วยเพราะสงสัยและคิดกันว่า น่าจะเพราะเป็นปอบแล้วโดนขับไล่มาจากที่อื่น เพราะปอบเป็นหนึ่งในความเชื่อที่อ่อนไหว ที่อยู่คู่สังคมคนอีสานมาอยางช้านาน ต่อให้ไม่รู้ ก็ไม่มีใครอยากเกี่ยวข้อง
ส่วนเหตุที่เป็นปอบ ของคนเรียนอาคม นั้นมาจากทำผิดข้อห้าม และผิดฮีต ผิดคลำ ของโบราณจารย์เจ้าของวิชา จะด้วยข้อใดๆก็ตาม
ผิดหนึ่งครั้งก็เป็นปอบ เพียงแต่มันจะไม่ได้โหดร้าย ถึงขนาดจะกลายสภาพเป็นปอบ กันทันทีทันใด แต่เป็นลักษณะสะสมแต้ม หรือตัดคะแนน สะสมไปเรื่อยๆ เช่นผิดข้อนี้ ลบ ๑ แต้ม ข้อนี้ลบ ๑๐ แต้ม ผิดร้ายแรงหน่อย ๓๐ แต้ม เมื่อสะสมจนครบ ๑๐๐ แต้ม แล้วก็ได้ของรางวัลคือการ............เป็นปอบ
ข้อห้ามต่างๆ ที่ทำวิชาห้ามไว้ ที่หากผิดแล้วจะกลายเป็นปอบ
ส่วนใหญ่จะเป็นข้อห้ามทางไม่ให้ละโมบ โลภมาก หรือเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ตกอยู่ใต้อำนาจฝ่ายต่ำทางจิตใจของคน
เช่น เรียกค่าครูมากเกิน เรียกผลประโยชน์มากเกิน หลงไหลในลาภยศ สรรเสริญที่ได้มา หลงระเริง ลืมตัว หรือแทนที่จะรักษา แต่ดันทำคุณไสยใส่เขา เพื่อให้เขากลับมาทำพิธีเสียเงินให้อีก ข่มเหงทั้งจิตใจ หรือร่างกายของลูกศิษย์ โดนที่ไม่ยินยอม หรือก็คือพวกหมดเสน่ห์ที่ลงเสน่ห์ให้คน แล้วห้ามใจไม่อยู่ ทำการข่มขืน ล่วงละเมิดทางเพศนั่นล่ะครับ
เมื่อไม่อาจห้ามใจ ทำแต่เรื่องผิดบาป ไม่ตั้งอยู่ในคำสอนของครู ที่ให้อยู่ในศีลธรรม และนำวิชามาใช้ช่วยเหลือ ส่งเสริมผู้คน เมื่อทำไปนานๆเข้า จิตใจก็เปลี่ยนไป โดนอาถรรพ์วิชา หรือเจตภูติที่รักษาวิชา เข้ากินในร่างกายเพื่อเป็นการลงโทษ หรือบางครั้งก็เจตภูติของตัวที่เป็นทางด้านร้าย เข้าครอบงำจิตใจและความคิดอย่างสมบูรณ์ เมื่อนั้นสติสัมปะชัญญะ ก็ไม่เป็นตัวเองอีกต่อไป เพราะเมื่อทำเรื่องเลวร้ายติดต่อกันไปนานๆ เจตภูติฝ่ายร้าย มันจะมีกำลังกล้าแข็งมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็แข็งกล้าว่าดวงจิตหลักของคนผู้นั้น
นี่คือการเป็นปอบของคนเรียนวิชา
เพราะด้วยสาเหตุของเป็นปอบดังกล่าว โบราณจารย์ท่านจึงให้ผู้เรียนอาคม นั้นไม่ขาดจากการปฎิบัติ หาเวลาชำระจิตใจ ถือศีล ๘
ในทุกวันพระ เพื่อเป็นการชำระจิตใจ และล้างอาถรรพ์ทั้งหลาย
จากการผิดข้อห้าม ผิดคลำ ผิดต่อครูวิชา ทั้งหลายทั้งปวงนั่นเอง
การถือปฎิบัติ สวดมนต์ ไหว้พระไม่ขาด ถือศีล ๘ การอาบน้ำมนต์ธรณีสาร อาบน้ำมนต์ล้างอาถรรพ์ทั้งหลาย ก็คือการล้างการสะสมแต้มของการเป็นปอบ และข่มเจตภูติฝ่ายร้าย ให้กำลังน้อยลงไป
จึงได้มีคำกล่าวว่า ตราบใดที่คนๆนั้นยังสวดมนต์ ไหว้พระ ถือศีลอยู่
นั่นก็แปลว่ายังไม่ได้กลายเป็นปอบ เพราะปอบมันจะไม่สวดมนต์ ไม่ไหว้พระ
และยังมีข้อพิสูจน์อีกอย่างนึง คือจะมีว่านชนิดนึง (ขอปิดชื่อว่านเป็นความลับ) หากสงสัยว่าคนผู้ใดเป็นปอบ ให้นำว่านฝนให้ว่านออกกลิ่น หากผู้ใดเป็นปอบแล้วได้กลิ่นว่านชนิดนั้นเข้า เมื่อถามว่าเป็นปอบหรือไม่ จะไม่อาจโกหกได้ อันนี้ผมกล้ายืนยัน ว่าเป้นความจริง เพราะเจอมาเองกับตัว
แต่แม้ปอบจะน่ากลัว แต่ก็เป็นเรื่องในสมัยโบราณ ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป คนเรียนอาคมน้อยลง วิชาอาคม วิชาอาถรรพ์หลายๆวิชา สูญหายไป หรือบางครั้งผู้ร่ำเรียน ก็ไม่อยากให้โทษตกไปถึงลูกหลาน หรือคนรุ่นหลัง ยอมนำพาวิชาตายไปกับตัว จึงน่าจะเป็นเหตุให้ปอบนั้นลดน้อยลงไปด้วย แต่ปอบก็ยังพอมีอยู่บ้าง เมื่อเวลาที่ใครทำผิด หรือไปรุกล้ำเขตแดนของมัน มันก็จะทำการเข้าสิง ทำร้ายผู้ที่รุกล้ำ ก็ยังพอมีให้ได้เห็นและรับรู้กันอยู่บ้าง
ปอบ เรียกได้ว่าเป็นไม้เบื่อ ไม้เมากับ "หมอธรรม" เพราะวิชาธรรมทั้งหลาย มีไว้เพื่อปราบปอบ และไล่ปอบ เมื่อสมัยก่อน จะมีหมอธรรมประจำบ้าน หมู่บ้านไหนที่มีหมอธรรม ก็จะปลอดภัยจากปอบ เหมือนกับบ้านนั้น มีตำรวจก็ย่อมไม่มีโจรผู้ร้าย แต่ปัจจุบัน ปอบน้อยลง ความสำคัญของหมอธรรม และหมอธรรมประจำบ้าน ก็ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ
อาวุโสธรรม ท่านเคยกล่าวเล่นๆว่า "ถ้าเจอปอบ อย่าไปฆ่ามันนะ
ไล่ก็พอ เดี๋ยหมอธรรมรุ่นหลัง จะไม่ได้เจอปอบ ไม่ได้ใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาปราบปอบ หมอธรรมรุ่นใหม่ๆนี้ จึงแทบจะไม่ค่อยเจอปอบตัวเป็นๆกันแล้ว
แต่ความเชื่อส่วนตัว ผมคิดว่าปอบมันไม่ได้หายไปไหน และวันนึงมันคงจะกลับมาอาละวาด ทำร้ายผู้คนอีกครั้ง เพียงแต่มันน่าจะเป็นรูปแบบอื่น ไม่ใช่ดังเช่นก่อนนี้ หรือบางที มันก็อาจจะแฝงไปในผู้คนปัจจุบัน โดยที่ไม่รู้ตัวแล้ว เพราะไม่งั้น สังคมสมัยนี้มันคงไม่เสื่อมขนาดนี้
จบเรื่องเล่า"ปอบ" แต่เพียงเท่านี้ น่าจะคงพอเข้าใจ ถึงเรื่องราวแห่งปอบ และเข้าใจถึงเหตุ ของการเป็น"ปอบวิชา"กันแล้ว เล่าไปตามประสบการณ์ที่รู้ ที่ได้พบเจอ และค้นคว้ามานะครับ จริงๆเรื่องราวของปอบยังมีที่ลึกลับและมากกว่านี้ ที่นำมาเล่านี้เป็นเพียงส่วนน้อย
ยังมีความลับของมันอยู่อีกมาก ใครอยากจะรู้มากกว่านี้ ก็คงต้องไปค้นหากันเอาเองต่อไปครับ
16 ต.ค. 2566
10 พ.ย. 2566
13 ก.ย. 2566
1 ส.ค. 2566