ปลูกมนต์ คำที่คนสมัยนี้ละเลยกัน

Last updated: 24 ก.ย. 2564  |  1002 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ปลูกมนต์ คำที่คนสมัยนี้ละเลยกัน

สำหรับผู้ร่ำเรียนวิชาเวทย์มนต์ของอีสาน
จะถืออย่างมากเรื่อง "ปลูกมนต์" หรือ "ปลุกมนต์"

เพราะเปรียบถือเอาวิชาอาคม ดั่งเช่นต้นกล้า ที่ได้รับจากครูอาจารย์ไป การ

ท่องและย้ำจนจำได้ขึ้นใจ การสาธยายมนต์ ท่องบ่นอยู่ไม่ขาด อุปมาก็ดั่ง

นำต้นกล้าไปเพาะลงดิน หมั่นรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย ต้นไม้จึงจะงอกงามได้

ฉันท์ใด ผู้ที่ได้คาถาได้วิชา ปล่อยทิ้ง ไม่สนใจ ต้นไม้ก็เหี่ยวเฉา

ไม่ผลิดอกออกผลใดๆ

คาถาหนึ่งบท สิบคนเรียน จึงได้ผลต่างกัน สำเร็จต่างกัน เพราะผู้ปฎิบัติ

ร่ำเรียนนั้นเอาใจใส่ต่างกัน ตัวมนต์คาถานั้นดีอยู่แล้ว สำเร็จอยู่แล้ว เพราะ

ครูผู้รจนา แต่งมนต์ ล้วนแต่สาปไว้ด้วยสมาธิจิตอันแรงกล้าของท่าน ให้

มนต์สำเร็จและเกิดผลเช่นเนื้อมนต์นั้นๆ (ข้อห้ามอีกอย่างของการเป็นหมอ

คาถา ก็คือห้ามแต่งมนต์เอง เพราะมันจะกินตัวผู้แต่ง ถ้าอำนาจแห่งจิตไม่

แกร่งกล้าพอ

คาถาแต่ละบท การจะใช้ให้เกิดผล จึงไม่ใช่แค่การตั้งขันห้า บอกกล่าวครูบา

อาจารย์ แต่ต้องท่องบ่น ให้จำจนขึ้นใจ ที่เรียกกันอีกอย่างว่า "เรียนมนต์

ตืด" ก็คือ "ติด" ไปทั้งในหัว และในใจผู้เรียน เมื่อร่ำเรียนได้มนต์ใหม่ๆ

จึงจะต้องทำการสวดย้ำ และสาธยายติดต่อกัน ๓-๗ วัน มีบางวิชาโหด

กว่านั้น กำหนดว่าต้องสาธยายติดต่อกัน ๓ ปี การเรียนให้ติดมนต์คาถา

การใข้มนต์ให้สำเร็จเกิดผล จึงไม่ใช่แค่การตั้งขัน ตั้งคาย ท่องจำได้เพียง

อย่างเดียว แต่ผู้ร่ำเรียนสมัยนี้ละเลยกันไป ทำให้ใช้มนต์ไม่เกิดผล สุดท้าย

ก็ท้อแท้ใจ เลิกเชื่อถือ เบื่อหน่ายในการเรียนไปในที่สุด

เรียนอาคมไม่ได้ง่าย แต่ก็ไม่ได้ยากเกินกว่าจะพยายาม ใครที่รู้สึกว่าใช้คาถา

ใดๆ ก็ยังไม่เคยเห็นผลสำเร็จจากมนต์ใดๆ อยากเห็นผลความสำเร็จจาก

การใช้มนต์ ก็เริ่มทำการ"ปลูก" มนต์ตั้งแต่วันนี้ดูครับ

ส่วนจะใช้เวลาเท่าใด ผมเองก็บอกไม่ได้ เพราะแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน

ของแบบนี้เป็นปัจจัตตัง ปฎิบัติเอง รู้เอง

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้