Last updated: 20 ก.ค. 2563 | 7598 จำนวนผู้เข้าชม |
เกริ่นนำก่อนเกี่ยวกับคำว่า "ผี" ที่สังคมปัจจุบันตีความหมายผิดไปไม่น้อย คำว่า"ผี" ในปัจจุบันมักจะคิดกันว่าหมายถึง สัมภเวสี วิญญาณ ฯลฯ ความหมาย
ในทางไม่ดีเสียส่วนใหญ่ เมื่อได้ฟังว่าคนโบราณนับถือ"ศาสนาผี" ก็คิดความหมายไปในทางหยามหมิ่น ไร้ปัญญาเสียมากกว่าจะคืดในทางอื่น
แท้จริง คำว่า"ผี" ของโบราณนั้น หมายถึง ผีบรรพบุรุษปู่ย่าตายาย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพและเทวดาทั้งหลายด้วย คำว่า"เทวดา" มาจากภาษาสันสกฤต
ที่มีการมาใช้ในภายหลัง โดยให้ศัพท์กดการนับถือศาสนาของคนโบราณให้ต่ำลง แล้วดึงความนับถือของคนยุคปัจจุบันให้ฟังดูสูงกว่า ด้วยคำว่า "สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทวดา" แทน
คนอีสานนั้นเรียกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ วิญญาณบรรพบุรุษที่ตาย รวมๆกันว่าผี และมีระดับชั้น ลำดับ เหมิอนลำดับเทวดาของยุคปัจจุบัน ผีที่ชั้นสูงๆ จะเรียกว่า
"ผีฟ้า" หรือที่สูงกว่านั้นจะเรียกว่า "แถน" มีทั้งหมด ๑๖ องค์ ใน ๑๖ นี้จะมีหนึ่งองค์ที่มีอำนาจมากและเป็นหัวหน้าใหญ่ของแถนทั้งหมด เรียกว่า" พญา
แถน" หรือ "แถนใหญ่" เปรียบให้เข้าใจก็ประมาณพระอินทร์ หรือเง็กเซียนฮ่องเต้ ของยุคปัจจุบันนี้ ความเชื่อคนอีสานนั้นเชื่อว่า พวกตนสืบเชื้อสายมาจาก
ผีน้ำพญานาค และผีฟ้าพญาแถน
โดย"แถน" จะทำหน้าที่ถ่ายทอดวิทยาการ ความรู้ต่างๆให้มนุษย์ ทั้งช่วยอำนวยความสะดวก กำจัดภัยธรรมชาติ โรคระบาดต่างๆ ในบางครั้ง แถนก็จะส่งผู้
ลงมาปกครองพวกตน ในฐานะพ่อเมือง คอยนำพาประชาชนให้อยู่ดีกินดี มีศีลธรรม แผ่นดินเป็นสุข
ในบางครั้ง"แถน" ก็ลืมทำหน้าที่ ให้ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล มนุษย์ก็จะเตือนให้แถนทำหน้าที่ของตัวโดยการจุดบั้งไฟ ไปบอกให้แถนรู้
"ผีฟ้า" จึงไม่ใช่ผีในความหมายของคนปัจจุบัน และการทรงผีฟ้า เป็นพิธีกรรมแต่ครั้งบรรพกาล เป็นหน้าที่ของหมอผีประจำหมู่บ้าน ในการนำสิ่งที่เบื้องบน
ต้องการสื่อสารกับมนุษย์ เมื่อเกิดอาเภทต่างๆ มนุษย์ไม่รู้ว่าทำสิ่งใดๆไม่ดี ผิดต่อแถน หรือต้องการสอบถามใดๆ ก็อาศัยการทรงผีฟ้าเพื่อถาม
เพื่อขอคำชี้แนะ ต่างๆ
การทรงผีฟ้า เมื่อต้องการสื่อติดต่อกับผีฟ้า ก็จะต้องมีการบวงสรวง ร้องเล่นและรำ เพื่อเชื้อเชิญผีฟ้าให้ลงมา เพราะเชื่อว่า ผีฟ้านั้นชอบความสนุกสนาน
และเพื่อเป็นการให้ผีฟ้าองค์ที่เมตตา มีจิตใจอ่อนโยนลงมา จึงต้องทำการร้องและลำ เพื่อเชื้อเชิญผีฟ้า
ผู้ทำการทรงเชื่อมกับดวงวิญญาณของผีฟ้า เมื่อผีฟ้าลง ก็จะสนุกสนานเข้ากับบรรยากาศสนุกสนานของการร้องและรำ ซึ่งจะเป็นบทเพลงที่สำหรับไว้เชิญ
ผีฟ้าโดยเฉพาะ เปรียบแล้วก็น่าจะประมาณคาถาเชิญไว้สำหรับเชิญเทพประทับทรง
เมื่อผู้ทำการรำผีฟ้า เชิญผีฟ้าลงมาได้แล้ว ผีฟ้าจะร้องและรำเป็นคำกลอน คำลำ บอกเป็นปริศนา วิธีแก้ไข ให้มนุษย์หรือผู้กระทำผิดได้รับรู้ หรือเรื่องอื่น ก็มี
การขอให้ผีฟ้าช่วย เช่นมนุษย์มีอาการเจ็บป่วย ไม่ทราบสาเหตุ ขอให้ผีฟ้าช่วยรักษา บางครั้งโดนคุณไสย โดนผีอื่นๆเข้าสิง ผีฟ้าก็ช่วยขับไล่ หรือเจรจาให้
ผีที่เข้าสิงนั้นออกไปจากร่าง
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หลายๆคนน่าจะร้องอ๋อ เข้าใจกันแล้วว่า ผู้ทรงผีฟ้า ก็คือหมอไสยศาสตร์ในรูปแบบนึงนั่นเอง
การนับถือผีฟ้า เป็นในภาคอีสานบางพื้นที่ ส่วนใหญ่จะเป็นอีสานทางตอนเหนือและอีสานตอนกลาง
หลักๆแล้วความเชื่อการนับถือผีฟ้า จะเป็นชนเผ่าภูไทมากที่สุด ปัจจุบัน พื้นที่จ. เพชรบูรณ์ เลย อุดร ชัยภูมิ ยังพอมีอยู่บ้าง ส่วนทางอีสานใต้ ผมไม่แน่ใจว่า
มีหรือไม่ ใครรู้ตรงนี้ก็ลองเล่าสู่กันฟังที
พิธีรำผีฟ้า จะว่าไปไม่ใช่พิธีเล็กๆ เพราะต้องใช้ผู้ประกอบพิธีหลายคน ไม่ว่าจะหมอแคน (อธิบายเพิ่มเติมตรงนี้นิด แคน เป็นเครื่องดนตรีอีสานโบราณมา
หลายพันปี แต่เดิมเชื่อว่า เป็นสิ่งที่ใช้เป่าเพื่อเรียกหาความช่วยเหลือจากแถน เรียกแถนให้ช่วย หมอแคนก็มียกครู มีพิธีกรรมเช่นกัน)
หมอลำ ลูกคู่ และผู้ทรงผีฟ้า เรียกได้ว่าการจะรำผีฟ้าต้องเตรียมการมากมายพอสมควร ทั้งชุดที่สวดใส่ ทั้งผู้ประกอบพิธี ผู้รักษา และผู้เข้าร่วมในเขตปรัม
พิธี ทุกคนต้องแต่งกายด้วยชุดพื้นบ้านกันทั้งหมด หากมีแปลกแยกอาจจะทำให้ผีฟ้า โกรธและมีโทษได้ และต้องใช้เวลาประกอบพิธีนาน เรียกได้ว่าไม่ใช่
เรื่องเล็กๆเลย
พิธีการรำผีฟ้า ในยุคหลังๆมักจะเป็นการรักษาอาการเจ็บป่วยเป็นหลัก ไม่ว่าจะป่วยด้วยคุณไสย หรืออาการป่วยจากร่างกายก็ตาม เหตุเพราะสมัยก่อนการ
รักษาของแพทย์ยังเข้าไม่ถึง ตามชนบทห่างไกล หรือถ้าไม่งั้นก็ค่ารักษาสูง ชาวบ้านทั่วๆไปไม่มีเงินทองจะรักษา หรือถ้าไม่งั้นก็รักษาในแพทย์แผน
ปัจจุบันแล้วไม่หาย ก็ลองมารักษา ด้วยวิถีบ้านๆ คือการรำผีฟ้า เชิญผีฟ้าแทน เรียกได้ว่าเป็นความหวังสุดท้ายที่มีเหลือ
อาการป่วยของคนเรา โรคที่น่ากลัวและคร่าชีวิตคนเรามากที่สุดคงไม่มีอะไร จะหนักไปกว่า"มะเร็ง" ไม่ว่าจะมะเร็งตรงไหน ก็คงไม่มีใครอยากเป็น แต่เมื่อ
เป็นแล้วก็ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อรักษา เพราะหากใครที่เคยสัมผัสหรือเคยมีญาติผู้ป่วยมะเร็ง จะรู้ว่าทรมานขนาดไหน ปราชญ์อีสานที่ท่านเล่าเรื่องผีฟ้าให้
ฟัง ท่านเล่าว่า สมัยเด็กๆเคยเห็นผู้ป่วยโรคมะเร็ง ระยะใกล้ๆจะสุดท้ายแล้ว ลุกเดิน ลุกนั่งยังไม่ไหว ญาติๆลองรักษาด้วยวิธีรำผีฟ้า ปรากฎว่าในพิธี อยู่ๆจาก
คนป่วยที่นอนติดเตียงอยู่หลายเดือน ที่สำคัญไม่เคยผ่านการเรียนรำใดๆมาก่อน ก็ลุกขึ้นมารำเข้าจังหวะกับผู้ทรงผีฟ้า รำอ่อนช้อยต่อกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย และ
หลังจากนั้นก็อาการป่วยก็ดีขึ้นตามลำดับ เดินเหินใช้ชีวิตได้เป็นปรกติ และเมื่อไปตรวจอีกครั้งกับแพทย์แผนปัจจุบัน สรุปก้อนมะเร้งที่ว่าหายไปอย่างน่า
อัศจรรย์ ฟังดูก็เป็นเรื่องน่ายินดี ไม่มีอะไรน่ากลัวใช่มั้ยครับ....
......แต่ ความน่ากลัวมันอยู่ตรงนี้ ร่างทรงผีฟ้า ท่านได้ให้ความรู้ว่า การรักษาของผีฟ้านั้น ผีฟ้าจะเข้ามาสิงผู้ป่วย แล้วกินเนื้อร้าย น้ำเหลืองและเลือดที่เสีย
อันเป็นต้นเหตุของอาการป่วยต่างๆ ไม่ต่างจากการผ่าตัด แต่อันนี้คือเข้ากินจากภายในโดยตรงเลย........
อ่านถึงตรงนี้แล้วรู้สึกกันยังไงบ้างครับ ส่วนผมทีแรกที่ได้ยิน ทำเอาขนลุกไปทั้งตัว เพราะเป็นการยืนยันในสิ่งที่ได้ยินมา ว่าผีกินตับไตไส้พุง ที่ได้ยินกันมา
ตั้งแต่เด็กๆ พอโตขึ้นก็คิดว่าเป็นคำขู่นั้น ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริงๆ
ผีฟ้า ก็ไม่ต่างจากคน คนมีทั้งดีและไม่ดี และผีฟ้าก็เช่นกัน ผีฟ้าที่ดี มีศีลถือศาสนา เมื่อรักษาคนเสร็จแล้วก็ไป แต่ผีฟ้าที่ไม่ดี หรือไม่ได้ถือศาสนาก็มีเช่นกัน
เมื่อรักษาคนให้แล้ว จะมีข้อแลกเปลี่ยนบางอย่างที่มากกว่านั้น............นั่นก็คือ"เลือด"ของผู้ทรงผีฟ้า
แม้ "หมอธรรม" จะเป็นที่ขยาดและเกรงกลัวของเหล่า ปอบทั้งหลาย หมอธรรมที่เก่งๆ สยบปอบได้มากมาย แต่เมื่อเจอ"ปอบผีฟ้า" หลายๆท่านก็พากัน
โบกมือบ๊ายบาย พร้อมส่ายหัวกันมานักต่อนักแล้ว
บอกไว้ก่อนตรงนี้ ไม่ได้หมายถึงพิธีรำผีฟ้าทั้งหมด เดี๋ยวจะเข้าใจไปว่าผมกล่าวหาว่าพิธีรำผีฟ้านั้นไม่ดี พิธีส่วนใหญ่นั้นดี และเป็นวัฒนธรรมโบราณที่ผู้คน
ท้องถิ่น เริ่มที่จะหวงแหนและรื้อฟื้นกลับมา ไม่ปล่อยให้สูญหายไปกับกาลเวลา
แต่ทุกอย่างนั้นมีสองด้าน ตอนนี้ผมจึงขอกล่าวถึงอาถรรพ์ของผีฟ้า และผลของการที่เจอผีฟ้าที่ไม่ดีมาเล่าสู่กันฟัง
การรักษาด้วยการรำผีฟ้า หากเจอผีฟ้าที่ดีก็ดีไป เมื่อผีฟ้ารักษาเสร็จ เข้าสิงผู้ป่วยกินเนื้อร้าย สิ่งไม่ดีในร่างกายหมดก็จะออกจากร่างกายผู้ป่วย แต่ปัญหา
หนักที่เกิด ก็เพราะเจอผีฟ้าที่ไม่ดี หรือไม่งั้นก็ผู้ทรงรำผีฟ้า ผู้ป่วยที่ทำการรักษา ทำผิดข้อตกลงกับผีฟ้าซะเอง (ส่วนใหญ่จะเป็นเพราะเหตุนี้ซะมาก)
ผีฟ้าที่ไม่ดี เมื่อเข้าสิงกินร่างกายผู้ป่วยแล้ว ก็จะไม่ยอมออก ยังคงสิงกินเลือดและภายในผู้ป่วยอยู่ บางครั้งผู้ป่วยนั้นเสียชีวิตไปแล้ว แต่ผีฟ้าก็ยังคงไม่ออก
ยังคงเลี้ยงชีวิตผู้นั้นไว้ ทำให้อยู่ในสภาพกึ่งโคม่า คือนอนและลุกขึ้นมากินอาหารได้บ้าง แต่ไม่พูดคุยโต้ตอบกับใคร ทำให้คนรอบข้างตายใจ คิดว่าคงแค่
ยังไม่หายป่วย หรือไม่ก็รักษาไม่ได้ผล
เมื่อผีฟ้านั้นกินเลือดและภายในผู้ป่วยจนพอแล้วและสาแก่ใจ จึงจะออกจากร่าง แต่เมื่ออกจากร่าง สภาพร่างกายก็กลายเป็นแห้งและซีด เหมือนดั่งคนที่
ตายมานานนับเดือนแล้ว เรื่องนี้ปราชญ์อีสานที่เล่าให้ฟัง ท่านยืนยันว่าเห็นกับตาจริงๆ ทำเอาทั้งหมู่บ้านเกรงกลัวจนหมด กลางคืนไม่มีใครกล้าออกจาก
บ้าน
ในบางกรณีหนักยิ่งกว่านั้น หากผีฟ้านั้นเกิดติดใจ รสชาติของเลือดเนื้อคนตระกูลนั้นๆ หลังจากสิงกินคนเป็นแม่เสร็จ ถึงเวลาก็เปลี่ยนไปเข้าสิงคนเป็นลูกต่อ
ก็มี และจะกินต่อไปเรื่อยๆจนกว่าผีฟ้านั้นจะพอใจ นั่นคือกรณีที่หนักมากๆ แต่ก็พบเห็นได้น้อยมาก
โดยส่วนใหญ่หากผีฟ้าต้องใจ ถูกใจ หรือชอบความหอมหวานของเลือดคนตระกูลใด ก็มักจะใช้วิธีบังคับให้รับเป็นร่างทรงของผีฟ้าเสียมากกว่า (โดยมาก
มักเป็นสตรีที่ผีฟ้าเป็นผู้เลือกให้เป็นร่างทรง) ซึ่งหากผู้ใดขัดขืนผู้ฟ้าก็จะกระทำให้เกิดเรื่องราว ความตกต่ำต่างๆนานา บีบจนผู้นั้นไม่มีทางไป ต้องยอมรับ
เป็นร่างทรงผีฟ้าไปในที่สุด และโดยมากมักจะถ่ายต่อจากรุ่นสู่รุ่น แต่ก็มีคนมากมายที่ไม่อยากเป็นร่างทรงผีฟ้าต่อ พยายามหนี แม้จะพบเจอกับความตกต่ำ
และบีบคั้นเช่นไร ก็ไม่ยอมรับเป็นร่างทรงผีฟ้า
บางคนถึงขนาดยอมไม่แต่งงาน ไม่กำเนิดบุตร เพื่อให้ความเป็นร่างทรงผีฟ้านั้นจบที่ตัวก็มี
กรณีต่างๆที่เกิดขึ้นโดยส่วนมากเป็นเพราะ ผู้รักษา ผู้ทรงผิดข้อตกลง หรือคำสัญญาต่างๆที่ทำไว้กับผีฟ้า แล้วโดนผีฟ้าลงโทษ หรือที่รู้จักกันในชื่อ"ปอบ
ผีฟ้า"นั่นเอง ปอบธรรมดาว่าหนักและไม่มีใครอยากเจอแล้ว เมื่อเจอปอบที่เป็นผีฟ้า แน่นอนว่าฤทธิ์นั้นมากไม่ธรรมดา
ในทางอีสาน โรคภัยไข้เจ็บ การรักษาคนถูกผีเข้าและปอบ เล่นงาน ผู้ที่แก้ไขและทำการรักษา ก็คือ "หมอธรรม"
แต่สำหรับปอบผีฟ้า หมอธรรมนั้นยากที่จะจัดการ เพราะว่าหนึ่ง ผีฟ้านั้นอยู่มานาน และอยู่มาก่อนศาสนาจะเข้ามาในดินแดนสุวรรณภูมิ หมอธรรมอาวุโส
ท่านนึงเคยทำพิธีปราบปอบผีฟ้า ผลสรุปคือโดนปอบผีฟ้าชี้หน้าด่าว่า "กูอยู่มาก่อนศาสดาสูจะเกิด ธรรมและวิชาต่างๆที่สูเรียนมา ล้วนแต่เกิดขึ้นหลังกู
ศาสดาและศาสนาของสู กูมิย่ำแต่กูก็มิได้นบ กูไม่เกรงกลัวและอย่ามายุ่งกับกู" ผลคือหมอธรรมท่านนั้น ได้แต่ทำการล่าถอยไป.....
จึงเป็นที่รู้กันดีของเหล่าหมอธรรมว่า หากปอบที่จะปราบ เป็น"ปอบผีฟ้า" หมอธรรมจะไม่ยุ่ง หมอธรรมและผีฟ้า จึงอยู่ในสภาพ "น้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง" คือ
ไม่ยุ่งเกี่ยวและก้าวก่ายกัน ผีฟ้านั้น มีอายุอยู่มาหลายพันปี บางส่วนก็ยอมรับอยู่ภายใต้อาณัติคำสอนแห่งองค์พระศาสดา บางส่วนก็ไม่ยอมรับหรือนับถือ
ส่วนที่ยอมรับนับถือก็มี เท่าที่ผมทราบ ที่ จ.ชัยภูมิ มีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ตรงนี้ไม่แน่ใจว่าใช่พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อหรือไม่ ในงานประจำปีทุกปี จะมีร่างทรง
ผีฟ้ามากมาย รำถวายเป็นการแสดงความเคารพและบูชา มีผู้สันณิษฐานว่า อาจจะมีผีฟ้าใหญ่ที่ยอมรับนับถือในศาสนารักษาอยู่ หรือถ้าไม่งั้นผีฟ้าที่มารำ
ถวายบูชา ก็น่าจะเป็นผีฟ้าที่ยอมรับและนับถือในพุทธ
ทีเล่ามาทั้งหมดนี้ น่าจะพอให้เข้าใจถึงเรื่องราวของผีฟ้าได้ในระดับนึง ซึ่งตัวผมเองก็ทราบมาไม่ได้มาก ที่นำมาถ่ายทอดให้ก็คือสิ่งที่พอจะถ่ายทอด เล่าสู่
ให้กันฟังได้ บางสิ่ง บางอย่าง ขอสงวนไว้เป็นความลับ ใครอยากรู้ในเชิงลึกมากกว่านี้ ก็คงต้องไปทำการค้นคว้าและศีกษาด้วยตัวเอง
ก่อนจะจบเรื่องผีฟ้า เชื่อว่าน่าจะมีหลายๆคนคาใจ แล้ววิธีแก้สำหรับคนโดนผีฟ้าเล่นงาน นั้นมีหรือไม่ สุดท้ายแล้วรักษากันยังไง........แน่นอนว่าก็ผมสงสัย
จึงได้ถามร่างทรงผีฟ้าอาวุโสท่านนั้น ซึ่งท่านก็ได้ไขข้อข้องใจ เล่าให้ฟังว่า"หนามยอก เอาหนามบ่ง" เปรียบดั่งโดนพิษงู ก็ต้องใช้ เซรุ่มที่ทำจากพิษงูมา
รักษา นั่นก็คือใช้วิธีเชิญ"ผีฟ้า" มาทำการเจรจาและขอวิธีแก้ไข
หรือหากผีฟ้าองค์อื่นเจรจาไม่เป็นผล ก็จะใช้วิธีเชิญผีฟ้าองค์โต หรือองค์สูงสุด (ซึ่งมีสายเป็นลำดับขั้นไป) ให้ท่านมาช่วยจัดการนั่นเอง
พูดง่ายๆว่า ผีฟ้าก็มีวิถีและแนวทางของผีฟ้า ที่ไม่ยอมให้สิ่งภายนอกนั้นมาก้าวก่ายนั่นเอง จึงขอจบเรื่องราวผีฟ้าไว้แต่เพียงเท่านี้
สำนักฤษเวทย์
1 ส.ค. 2566
2 เม.ย 2566
27 เม.ย 2566
13 ก.ย. 2566