เรื่องราวของ"พญามาร"

Last updated: 10 พ.ค. 2563  |  15488 จำนวนผู้เข้าชม  | 

เรื่องราวของ"พญามาร"

   "พญามาร" ศัตรูตัวสำคัญที่พระพุทธองค์ท่านได้เอาชนะ เพื่อตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เรามักจะหลีกเลี่ยง และไม่ค่อยจะกล่าวถึง รวมไปถึงคงจะไม่มีใครอยากรู้เรื่องราวของ "พญามาร" กันเท่าใดนัก เพราะมักจะคิดไปว่า "พญามาร" นั้นน่าเกลียด

น่ากลัว แต่ความจริงแล้วเข้าใจผิดกันไปมากเลยทีเดียว เพราะรูปโฉมของพญามาร นอกจากจะไม่น่ากลัวแล้ว หากแต่ยังงดงามและสง่างาม เนื่องจากเพราะ

พญามาร ถือเป็นเทพแห่งสวรรค์ หาใช่ยักษ์ หรืออสูรกายจากนรกขุมไหน หากแต่เป็นถึงประมุขผู้ครองอำนาจสูงสุดแห่งสวรรค์ชั้น ปรนิมมิตตวัสสวตี ซึ่งเป็น

สวรรค์ชั้นที่ ๖ สูงสุดในชั้นกามาวรจร

ตามตำนานไตรภูมิฯ กล่าวไว้ว่า เทวดาชั้นนี้มีร่างกายงดงามและสง่างามยิ่งนัก ทั้งปรารถนาสิ่งใดก็เพียงนึกเอา ก็จะมีเทวดาชั้นนิมมานรดีคอยเนรมิตให้ดังใจ

โดยไม่ต้องเอ่ยปาก พญามารเป็นที่เกรงกลัวเทวดาทุกชั้น เพราะนอกจากจะตำแหน่งยิ่งใหญ่สุด ในสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้นแล้ว ยังสามารถเข้าสิงและแฝงเทวดา

บังคับจิตใจให้กระทำความต้องการของตัวเองได้ทุกองค์ โดยไม่มีองค์ใดขัดขืนได้ (ตรงนี้คาดว่าเพราะเทพบนสวรรค์ทั้ง ๖ ยังไม่พ้นจากกามคุณทั้งหลาย จึง

ยังต้องตกอยู่ในอำนาจแก่มารอยู่)

แม้จะยิ่งใหญ่ถึงปานนั้น แต่ด้วยความอิจฉาริษยา บางคติก็ว่า ไม่ต้องการให้คนทำความดี จนขึ้นสู่สวรรค์ชั้นสูงๆมากมาย เดี๋ยวจะทำให้สวรรค์ชั้นของตนมี

เทวดาแออัด หรือบ้างก็ว่า ในอนาคตกาลพญามารจะได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป ทำให้กลัวว่าองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า จะนำพาสัตว์โลกพ้นทุกข์

ไปหมด กลัวการสำเร็จในเบื้องหน้าของตนจะไม่มีสัตว์โลกไว้ให้โปรด หรือมีสัตว์โลกให้โปรดน้อย

จึงได้เกิดความพิโรธ ต้องลงมาขัดขวางการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ และอีกประการนึง พระองค์กำลังจะสำเร็จโพธิญาณ หลุดจากกิเลสทั้งปวงพ้นอำนาจ

แห่งมารแล้ว มารจึงต้องพยายามขัดขวางอย่างเต็มที่ จึงเป็นการเปรียบอีกอย่างว่า ความใจแคบ ความอิจฉาริษยา ทำให้แม้มหาเทพ ก็ยังแปรเปลี่ยนกลาย

เป็นพญามาร


"ท้าวปรนิมมิต​วสวัตตียามาธิราช" หรือรู้จักมักคุ้นในนาม "พญามาร" มากกว่า จะว่าไปแล้วน่าจะเป็นศัตรูหนึ่งเดียว ที่พ่ายแพ้แล้ว แต่กลับไม่ยอมศิโรราบต่อ

พระพุทธองค์ ในพุทธประวัติ เมื่อพระพุทธองค์ทรงปราบความอหังการ หรือความอวดดีต่อผู้ไม่ยอมรับเคารพในพระองค์แต่แรก แต่เมื่อพ่ายแพ้แล้วศัตรูที่

เคยต่อต้านพระองค์ทีแรก จะปาวารณาตัวถวายตัวเป็นพระสาวก คอยรับใช้พระพุทธองค์และทำนุบำรุงพระศาสนา

แต่สำหรับพญามารแล้ว แม้จะพ่ายแพ้กี่ครั้ง ก็ไม่เคยยอมศิโรราบเลย แม้จะพยายามขัดขวางการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ตลอดเวลา ที่พระองค์นั้นออก

บำเพ็ญหาทางหลุดพ้นเป็นเวลายาวนานกว่า ๖ ปี จนถึงนาทีก่อนที่พระองค์จะตรัสรู้ ก็จึงเกิดความพิโรธจนถึงได้แสดงตัวออกมา

เหตุการณ์ตรงนี้ว่า เหล่าเทวดาทั้งหลาย รู้ว่าใกล้จะถึงเวลาที่พระพุทธองค์ท่านตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัทพุทธเจ้าแล้ว พากันมามุงดู และรอชมบารมีเพื่อยามที่

พระองค์ได้สำเร็จตรัสรู้แล้ว จะพากันเปล่งสาธุการแซ่ซ้องสรรเสริญในบารมีแห่งท่านกัน

ปรากฎว่า "พญามาร" แสดงตัวออกมา ทันใดนั้นเหล่าเทวดาทั้งหลายพากันแตกหนีไปทั่วสี่ทิศแปดทาง แม้กระทั่งเทวดาชั้นพรหมก็ยังไม่ขออยู่รับมือกับ

เหล่ากองทัพมาร ตรงนี้น่าจะเป็นการแสดงให้เห็นถึงอิทธิฤทธิ์ของพญามารได้เป็นอย่างดี ว่าน่าเกรงขามขนาดไหน

ในพระไตรปิฎกเอง ก็ยังมีบรรยายถึงความยิ่งใหญ่ของพญามารเอาไว้ ถึงกับยกย่องว่า "เป็นเลิศแห่งความยิ่งใหญ่" สามารถถึงขนาดเล่นงานสิงเหล่าเทวดา

ระดับมหาพรหมได้ ทั้งเมื่อมีประชุมเทวสภาครั้งใด หากพญามารปรากฎตัว จะเป็นอันว่าเลิกประชุมกลางคัน เทวสภาต้องแตก เพราะด้วยความสามารถแห่ง

การครอบงำ ทุกๆเรื่องจะตกอยู่ในการควบคุม ให้เป็นไปตามความต้องการของพญามารทั้งสิ้น เรียกได้ว่าประชุมไปก็เปล่าประโยชน์

ครั้งเมื่อพญามารพ่ายแพ้แก่พระองค์อย่างหมดรูปในค่ำคืนนั้น บันทึกตำนานว่า พญามารถึงกับยืนนิ่ง ท้อแท้อาลัย (ช็อค)​ไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงกับเดิน

อย่างคนไร้จุดหมาย และมือไม้หมดเรี่ยวแรง พิณประจำตัวก็ยังถือไว้ไม่อยู่ (ภายหลังพระอินทร์มาเจอเข้า ก็ได้เก็บเอาพิณนี้ไปมอบให้กับท้าวปัญจสิงขร

เทพบิดร เลขาของพระอินทร์) และถึงแม้จะพ่ายแพ้อย่างราบคาบ นี่กลับไม่ใช่การยอมแพ้ของพญามาร ยังคงพยายามต่อสู้และขัดขวางพระพุทธองค์ และ

พิสูจน์ในตัวการตรัสรู้ และการสอนของพระพุทธองค์ ว่าสามารถสอนเหล่าสาวกทั้งหลาย ได้บรรบุอรหัตน์และไปสู่นิพพานจริงหรือไม่ เรียกได้ว่าไม่มีน้ำใจ

นักกีฬา ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้เอาซะเลย


เมื่อพญามารนั้นได้พ่ายแพ้ต่พระพุทธองค์อย่างราบคาบแล้ว แต่ก็หายอมรับความพ่ายแพ้ไม่ ยังคงดื้อดึงและรับความจริงไม่ได้ ยังคงหมกมุ่นและพยายาม

หาจุดที่จะจับผิด ว่าพระพุทธองค์นั้นท่านยังไม่สำเร็จตรัสรู้ ตามตำนานเล่าว่า พญามารถึงขนาดเก็บตัวอยู่ในถ้ำ ขีดแผ่นหินคำนวนและวิเคราะห์ในความพ่าย

แพ้ต่อพระพุทธองค์ ว่าตัวเองนั้นด้อยกว่าตรงที่ใด สุดท้ายก็ได้พบว่าตัวเองนั้น ยังด้อยกว่าพระพุทธองค์ถึง ๑๖ กระบวนท่า (ตัวเลข ๑๖ นี้จึงสำคัญมากใน

ทางไสยเวทย์และพุทธาคม) ดังนั้นไม่ว่าจะโดยเหตุผล และไร้เหตุผล ก็สมควรแล้วที่ตนจะพ่ายแพ้อย่างหมดรูปถึงเพียงนี้ เมื่อได้ค้นพบความจริงนั้นพญา

มารก็ยิ่งโศกเศร้าและคับแค้นใจยิ่งนัก ถึงกับหน้าดำคร่ำเครียด ไม่ออกมาจากถ้ำหมกมุ่นกับการพยายามจะหาทางแก้มือให้จงได้ เรียกได้ว่าแม้จะแพ้อย่าง

ราบคาบถึงเพียงนี้ ก็ยังดื้อดึงและอวดดี ไม่ยอมศิโรราบต่อพระพุทธองค์


เมื่อพญามารหายไปนาน ลูกสาวทั้งสามเห็นบิดาหายมานานแล้ว ไม่กลับสู่วิมานซะที จึงได้ออกตามหา ได้มาพบพญามารหน้าตาคร่ำเครียดและคับแค้น อยู่

กับการขีดแผ่นหินหาทางเอาชนะพระพุทธองค์ จึงได้เป็นห่วงบิดาและขออาสาจัดการกับพระพุทธองค์ให้เอ ธิดาพญามารทั้ง ๓ นี้ เรียกได้ว่าน่าจะเป็นอาวุธ

ที่น่ากลัวที่สุดของพญามารแล้ว เพราะธิดาทั้ง ๓ นี้ มีนามว่า ราคา(ราคะ) อรดี ตัณหา ซึ่งทั้ง ๓ ก็คือความรู้สึกที่ยากจะหลุดพ้น

๑.ราคะ คือความปรารถนาที่มีต่อสัมผัสทั้ง ๖

๒.อรดี คือความเพลิดเพลินต่อสัมผัสทั้ง ๖

๓.ตัณหา คืออารมณ์ที่ปรารถนาต่อสัมผัสทั้ง ๖

ในทั้ง ๓ นี้ ตัณหา ถือว่าน่ากลัวที่สุด เพราะสามารถแผ่ซ่านไปได้ไกลอย่างไม่มีข้อจำกัด ไม่ว่าจะไกลแค่ไหน ตัณหาของคนเราก็ไปถึงได้

แน่นอนว่าผลคือ ธิดาทั้ง ๓ ก็พ่ายแพ้อย่างราบคาบ เพราะพระองค์นั้นขจัดและพ้นแล้วซึ่งกิเลส ตัณหาทั้งปวง พญามารเห็นดังนั้นก็รู้ดีแล้วว่าไม่มีทางที่จะ

เอาชนะพระพุทธองค์ได้อีกแล้ว ด้วยความคับแค้นใจและหมดหนทางจึงได้ทูลแก่พระพุทธองค์ว่า "หากท่านประกาศศาสนาและศาสนาของท่านนั้นมั่นคง

เป็นปึกแผ่นดีแล้ว เมื่อนั้นขอท่านจงเสด็จดับขันธ์ เพื่อศาสนาของพระองค์จะได้สิ้นสุด และจะได้เป็นโอกาสของข้าพเจ้าที่จะได้นั่งรัตนบัลลังค์ที่ท่านนั่งอยุ่

นี้บ้าง".........เรียกได้ว่าดื้อและถือดีอย่างไม่ลดละเลยทีเดียว



และแม้จะยอมรับความพ่ายแพ้ แต่พญามารนั้นหาได้ลดละ ยังคงก่อกวนสาวกแห่งพระพุทธองค์ เช่นเมื่อครั้ง ท่าน"โคธิกะเถระ" ที่ท่านมีปัญหาครองสภาวะ

แห่งสมาธิไว้ไม่ได้ เมื่อเข้าได้สู่ฌาณระดับสูงคราใด เมื่อออกจากสมาธิก็เสื่อมไปในเวลาอันรวดเร็ว จนสุดท้ายท่านท้อใจ เมื่อจนถึงวันนึงเมื่อท่านเข้าสู่

สภาวะแห่งห้วงนิพพานได้แล้ว ท่านจึงเชือดคอตัวเองเสีย เพื่อให้จบชีวิตโดยไม่ต้องเสื่อมถอยอีก ขณะนั้นเกิดกลุ่มควันดำ พุ่งเข้าในร่างสังขารของท่านโค

ธิกะ เข้าทวารหนึ่ง ออกอีกทวารหนึ่งวนอยู่ซ้ำๆแบบนั้น จนสร้างความตกตะลึงแก่เหล่าภิกษุทั้งหลายเป็นอันมาก

จนกลุ่มควันลอยเข้า ลอยออกจนอ่อนใจและกลายร่างเป็นกุมารรูปงาม (ซึ่งกุมารรูปงานนี้ก็คือพญามารนั่นเอง) แล้วทูลถามองค์พระศาสดาว่า "เหตุไฉนเรา

ถึงได้หาวิญญาณแห่งสาวกท่านไม่เจอ ทั้งๆที่ผู้กระทำอัตนิวิบาตกรรม ผู้นั้นจะต้องลงสู่ขุมนรก?" ซึ่งพระพุทธองค์ท่านได้ตอบว่า "มารผู้ใจบาป สาวกแห่ง

เรานี้ ได้เข้าสู่สภาวะนิพพาน วิญญาณไม่เหลืออีกแล้ว" พญามารแม้จะไม่เชื่อ แต่ก็จนใจ เพราะด้วยความสามารถของตนยังหาไม่เจอ ก็คงจะไม่มีวิญญาณ

ของพระโคธิกะ ตามที่พระศาสดาท่านว่าจริงๆ

และพญามารยังไม่หยุดและเลิกล้มการก่อกวนเพียงเท่านี้ ยังมีเมื่อครั้งพระพุทธองค์ ท่านได้จารึกไปยังแคว้นนึง ที่ผู้ปกครองแคว้นนั้นไร้ความสามารถ

ประชาชนมีความเป็นอยู่อดอยากแร้งแค้น พญามารถึงกับทูลแก่องค์พระศาสดาให้ท่านนั้นขึ้นครองเมืองนั้นเสียเอง เพื่อสงเคราะห์ให้ประชาชนนั้นพ้นจาก

ความอดอยาก โดยตนนั้นอาสาจะดูแลเศรษฐกิจและส่งเสริมให้เอง เรียกว่าเสนอตัวจะเป็น รมว.การคลังให้เลย แต่โดยพระพุทธองค์ถามกลับว่า "มารผู้ใจ

บาป เศรษฐกิจนั้นหาคำว่าพอและสิ้นสุดมิได้" อันหมายถึงว่า หากแม้ท่านแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน ก็ไม่ใช่ว่าจะจบสิ้น พญามารได้ยินเช่น

นั้นก็จนใจและกล่าวทูลลาไป


เวลาผ่านไปจนถึงช่วงก่อนที่พระพุทธองค์ท่านจะปรินิพพาน หลังจากที่พญามาร ได้ทูลต่อพระพุทธองค์ว่าขณะนี้ศาสนาพุทธได้มั่นคง และพร้อมด้วยพุทธ

บริษัทแล้ว จึงขอให้ท่านโปรดทำตามคำสัญญา เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานนิมนต์ท่านพ้นจากโลกมนุษย์ ซึ่งพระพุทธองค์ก็ได้รับนิมนต์ และว่าอีกใน ๓ เดือน

จากนี้ เราจะดับขันปรินิพพานตามคำสัญญา

เหตุการณ์ต่อจากนี้ ไปจนถึงเหตุการณ์ที่พญามารต่อสู้กับพระอุปคุต หาอ่านได้ไม่ยาก ดังนั้นผมจึงขอไม่กล่าวถึงเพื่อความกระชับ 

มาข้ามกันไปถึงเมื่อตอน"พญามาร"ถูกพระอุปคุตจองจำอยู่กลางเขา พร้อมแขวนคอไว้ด้วยซากหมาเน่า พญามารนั้นถูกปราบเสียจนสิ้นสภาพ และช่วงถูก

จองจำ ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน (ตัวเลขนี้น่าสนใจครับ)  ก็ได้คิดถึงเรื่องราวเก่าๆ เมื่อครั้งตนนั้นได้ก่อกวน ตามราวีพระพุทธองค์อย่างไม่จบสิ้น ก็ได้ค้นพบว่า

ตลอดเวลานั้น พระพุทธองค์ไม่เคยกระทำการรุนแรง และหยาบคายแก่พญามารเลย กลับกันแล้วยังปฎิบัติต่อพญามารด้วยความให้เกียรติและสุภาพ เต็มที่

ก็เพียงเรียกขานว่า "มารผู้ใจบาป" แต่ไม่เคยที่จะกระทำการทารุณ โหดร้ายต่อตนแม้แต่ครั้งเดียว คิดได้ดังนี้พญามารก็คร่ำครวญถึงพระพุทธองค์อย่าง

สำนึกผิด พร้อมทั้งตัดพ้อว่า "ดูเอาเถิดท่านพระชินสีห์ แม้ท่านจะดีและอดทนกับความหยาบช้าของเราถึงปานนั้น เหตุไฉนสาวกแห่งท่าน กลับไม่ได้มีควา

เมตตาแก่เราแม้เพียงนิดเลย บัดนี้เราได้สำนึกและรำลึกถึงท่านแล้ว หากแม้ในอนาคตกาลเรามีวาสนา บุญกุศล ได้นั่งรัตนบัลลังค์ดังคำทำนายเราจักยึดเอา

ธรรมความขันติแห่งท่าน ไว้เป็นสรณ และเรานี้ขอได้เป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ทั้งหลายเช่นเดียวกับพระพุทธองค์........หลังกล่าวจบก็เกิดเหตุฟ้าดิน แผ่นดิน

ไหว ราวกับรับรู้ถึงการปรารถนาพุทธภูมิของพญามาร


ทันใดพระอุปคุตท่านก็ได้ปรากฎตัว ซึ่งความจริงท่านได้แอบฟังอยู่นานแล้ว ว่าเวลา ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ที่พญามารถูกจองจำ จะรู้สึกสำนึกผิดบ้างหรือไม่

เมื่อท่านปรากฎตัว ท่านก็ได้กล่าวขออภัย พร้อมทั้งปลดพันธการจากซากหมาเน่าแก่พญามาร พร้อมกล่าวว่า "ของท่านโปรดอภัยในการกระทำทั้งหลาย

ของอาตมภาพ เจตนาแห่งอาตมภาพเพราะไม่ต้องการให้ท่าน ได้ก่อกวนทำลาย พิธีอันที่จะสืบทอดพระศาสนาไปให้คงอยู่ ซึ่งหากท่านทำสำเร็จ บาปและ

กรรมจากการทำในครั้งนี้ของท่าน จะกลายเป็นตัวขัดขวาง ให้ท่านไม่อาจจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลข้างหน้า บัดนี้ท่านได้รำลึกและกล่าวปา

วารณา ปรารถนาสู่พุทธภูมิ นับแต่นี้ท่านคือพระโพธิสัตว์ ควรที่ดลกทั้งหลายจะทำการนมัสกรานบูชาท่านแล้ว".....



ตำนานเรื่องเล่าตรงนี้ บางท่านก็ว่าไม่ใช่เหตุการณ์จริง หากแต่เป็นปริศนาธรรมที่ซ่อนอยู่ เช่นการจองจำของพญามาร เปรียบกับการอยู่กับตัวเอง ของเรา

พิจารณาตัวเอง ปฎิบัติกรรมฐาน วิปัสสนา เวลา ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ก็ตามที่ในพระสุตันตปิฎกกล่าวไว้ หากปฎิบัติได้ถูกต้อง และตรงตามคำสอนพระพุทธ

องค์ ก็จักสำเร็จในอรหันตผลในระยะเวลาอย่างเร็ว ๗ วัน อย่างกลาง ๗ เดือน อย่างช้าสุด ๗ ปี

การที่พญามารโดนแขวนด้วยซากหมาเน่า ก็เปรียบดั่งให้ผู้คิดจะพ้นจากกามคุณทั้งหลาย ควรจะปฎิบัติบำเพ็ญ อสุภกรรมฐาน (เพ่งซากศพ)เพื่อความเห็น

ในธรรมว่าขันธ์ ๕ นั้นมีเสื่อมสลายเน่าไปเป็นอนิจจัง

เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องจริง หรือเรื่องแต่ง อันนี้ก็สุดแท้แต่ใครจะพิจารณากันอย่างไร ผมไม่อาจชี้ชัดและฟันธงได้



ทิ้งท้ายไว้ที่เรื่องที่หลายๆคนอยากรู้ "มนต์พญามาร" วิชานี้เป็นวิชาหนึ่งในวิชาต้องห้าม และไม่ควรเรียน เพราะเป็นการปรามาสในพระรัตนตรัยอย่าง

ร้ายกาจ ข้อห้ามของผู้ที่จะเรียนวิชานี้สำเร็จ คือห้ามกราบพระด้วยมือตลอดชีวิต และยังห้ามเดินหน้าเข้าอุโบสถต้องเดินถอยหลังเข้า และยังมีข้อห้ามอีก

มากมาย ที่แน่นอนว่าใครที่ปฎิบัติเช่นนี้ การันตีตั๋วไปนรกขุมสุดท้ายได้เลย ส่วนตัวผมเองแม้จะร่ำเรียน แต่ก็ไม่เคยปฎิบัติเช่นนั้น และไม่คิดจะปฎิบัติเช่นนั้น

เพราะด้วยตัวผมถือวิชาธรรมบรรลุเป็นที่สุด มนต์พญามารที่ร่ำเรียนไว้ เพื่อประคองตัวเพื่อรักษามนต์และอาคมบางไว้ไม่ให้เสื่อม และใช้ยามป้องกันตัว มนต์

พญามารมีความน่ากลัวคือ ยามใดที่ใช้เจตภูติของผู้ใช้จะเกิดแข็งกล้าขึ้นมา บางคนหนักๆจนถึงขนาดเป็นเงาดำนั่งข้างๆตัว หนักเข้าก็ไปจนเจตภูติกลาย

เป็นมีชีวิตจิตใจของตัวเองขึ้นมา ไม่ต้องอาศัยการเชื่อมกับวิญญาณและร่างกายอีกต่อไป เกิดเป็นเจตภูติร้ายที่มีตัวตน แต่ไร้หัวใจและมโนสำนึกใดๆ ที่เรียก

กันอีกอย่างว่า"ปอบ"นั่นล่ะครับ อย่างไรก็ดีทุกๆอย่างเป็นดาบสองคม หากรู้จักใช้และพิจารณา ดังคำพระท่านว่า "วิชาพระไม่แตกฉาน วิชามารไม่รู้จัก จะไป

ปกป้องพระศาสนาไว้ได้อย่างไร" หากคิดจะปราบมาร บางครั้งก็ต้องกลายเป็นมารเสียเอง ถ้าเป็นศัพท์กำลังภายใน ก็คงประมาณ "จิตแห่งธรรมปลูกฝังมาร

และบางครั้งจิตแห่งมารก็ปลูกฝังธรรม"

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้